ขณะมองฝ่ามือพระพุทธขนาดยักษ์ที่ลงมาจากฟ้านั้น เยี่ยนจ้าวเกอเงียบงัน
นั่นเป็นพระยูไลลงมือ หรือบอกว่าเป็นพระอาจารย์โพธิ เป็นนักพรตจุ่นถี
คู่ต่อสู้คนหนึ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของวานรซุน
เขาเบญจคีรีนี้พอร่วงลง นับแต่นั้นชีวิตก็ไม่เหมือนเดิมโดยสมบูรณ์
ทว่าหากเปลี่ยนมุมมอง บางทีนี่อาจเป็นชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้วของวานร โชคชะตาที่คนอื่นๆ จัดการให้แก่เขา
ศาสนาพุทธถึงขั้นที่ยังทำเป็นทิ้งคำสวดมนต์หกคำไว้บนยอดเขาด้วย
ทุกสิ่งมาถึงเวลาที่สมควร พุทธบุตรปรากฏกาย ‘ทำลาย’ ตราผนึกทิ้งไป วานรปีศาจ ‘ปรากฏตัว’ ขึ้นใหม่ เดินทางไปยังชมพูทวีป
ทว่ามหาเทวะเสมอฟ้าตัวจริงยังคงถูกสะกดอยู่ใต้เขา การสะกดนี้กินเวลานับไม่ถ้วน จนกระทั่งปัจจุบัน ในที่สุดเขาก็จะได้เห็นท้องฟ้าและดวงตะวันอีกครั้ง ต่อให้ต้องสละพลังฝึกปรืออันล้ำเลิศของตัวเองทั้งหมด ก็ไม่กลัวหากว่าต้องเริ่มต้นใหม่
ภาพตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอพร่ามัว เงาร่างหาญสู้เอกภพด้วยตัวคนเดียว หนึ่งปีศาจบุกสรวงสวรรค์นั้นเหมือนกับปรากฏขึ้นใหม่ แล้วค่อยประสานกับเงาร่างที่ถูกสะกดอยู่ใต้ภูเขา กำลังพัดละอองฝุ่นทั่วฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง
ใต้ภูเขาเบญจคีรี เงาแสงของวานรปีศาจขนาดยักษ์เป็นเสือหมอบมังกรขด ยืนอยู่เหนือศีรษะของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก สวีเฟย และพ่านพ่าน
เงาร่างของวานรปีศาจค่อยๆ พังทลาย กลายเป็นแสงสีทองหลายชั้น สาดลงเบื้องล่าง ครอบคลุมทั้งสาม
รูปสลักหินที่เกิดจากร่างของสวีเฟย ยามนี้กลายเป็นสีทองภายใต้แสงสีทองที่กำลังสาดส่อง ผิวรูปสลักหินค่อยๆ หลุดร่วง มีหมอกควันสีเหลืองระเหยออกมาจากด้านใน
หมอกควันกระจายไปทีละน้อยๆ จากนั้นหลอมรวมกับแสงทอง พร้อมกับที่แสงทองซึมเข้าไปในร่างของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกและพ่านพ่าน ควันที่มีสีเหลืองเหล่านี้หลอมเข้าไปในร่างของพวกเขาทีละนิด
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ขัดขวาง ยืนเงียบๆ รอคอยอยู่ด้านนอก
พลังปีศาจอันยิ่งใหญ่ถูกแบ่งจากหนึ่งเป็นสาม
ความน่าอัศจรรย์มากมายที่อยู่บนร่างของสวีเฟย เกิดการแบ่งแยก เคลื่อนไปหาร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกและพ่านพ่าน สุดท้ายมีการเฉลี่ยกัน
พร้อมกับการเลื่อนไหลของเวลา ไม่ว่าจะเป็นสวีเฟย หรือร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกับพ่านพ่านที่กลายเป็นวานร บนผิวด้านหลัง ไหล่ขวา สะบัก ส่วนหลังเริ่มปรากฏลวดลายขึ้น
ชั่วขณะที่พร่ามัวเป็นรูปร่างของวานรคลั่งตัวหนึ่ง ติดอยู่บนหัวไหล่และหลังของทั้งสาม เหมือนกับรอยสัก ทั้งเหมือนการสลัก
จากนั้นแสงทองทั่วฟ้าก็เหมือนกับมีช่องระบาย เริ่มทะลักเข้าไปในลวดลายทั้งสามลวดลายอย่างบ้าคลั่ง!
นาทีนี้พลังอันแข็งแกร่งบิดเบี้ยวมิติเวลาและกฎเกณฑ์มากมาย กาลเวลาเหมือนกับย้อนทวน มิติช่องว่างราวกับกระจัดกระจาย ความเป็นความตายเหมือนกลับด้าน ความจริงความลวงเหมือนกำลังผสมกัน
สีเทาอมเขียวในที่สุดสลายไปจากใบหน้าของสวีเฟย พลังชีวิตปรากฏขึ้นจากในร่าง
ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอได้รับผลกระทบผ่านร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเช่นกัน
มหาเทวะเสมอฟ้ามีพลังส่วนตัวแข็งแกร่งเลิศล้ำ ถ้าหากว่าคู่ต่อกับเขามีความต่างมากเกินไป ต่อให้เล็งเป้าไปที่ร่างแยกก็กระแทกร่างจริงของอีกฝ่ายข้ามมิติจนตายได้
เวลานี้ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกรองรับกายทองส่วนหนึ่งของเขา เยี่ยนจ้าวเกอจึงได้รับผลกระทบด้วย
เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ทรุดนั่งขัดสมาธิกับพื้น ปรับลมหายใจเงียบๆ
อาศัยโอกาสนี้ อาการบาดเจ็บที่ได้มาก่อนหน้าเริ่มสมานตัวด้วยความเร็วสูง แทบจะหายเป็นปลิดทิ้งในวินาทีเดียว
ขณะเดียวกัน หลักการอันลี้ลับจำนวนมากก็เติมเต็มวิญญาณของเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนกรอกศีรษะคืนชีพ โลกและท้องฟ้าตรงหน้าเหมือนกับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเองพุ่งลงด้านล่างไม่หยุด
กระนั้น แม้ความห่างของฟ้าและดินจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยนจ้าวเกอกลับรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนกลายเป็นวานรตัวหนึ่ง มีความปรารถนาอันแข็งกล้า ต้องการพุ่งสู่ฟากฟ้า พลิกตัวขึ้นไป ก้าวข้ามท้องฟ้าที่สูงยกสูงนั้น
จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอสงบเงียบราวทะเลสาบ ก่อนจะเหมือนกลายเป็นมีรูปร่าง จากนั้นก็ตอบสนองความต้องการอยากทะยานขึ้นฟ้านั้น กระโจนตัวขึ้น
พร้อมกับการกระโดด ในอากาศมีปรากฏการณ์สามอย่างโผล่ขึ้นมา
ด่านเช่นนี้ บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อย อย่างเช่นเฉินเฉียนหัว ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะถูกเยี่ยนจ้าวเกอลดระดับ ในระดับเซียนจริงแท้ของเขามีแค่ด่านเดียวที่ต้องผ่าน หลังจากผ่านแล้วก็จะมีความมั่นใจในการท้าสู้ภัยพิบัติสัจพิศวง
ส่วนเยี่ยนตี๋ เป็นเพราะความลี้ลับของดาบกฎเกณฑ์ เป็นคนที่หายากมาแต่โบราณ จึงไม่มีแม้แต่ด่านเดียวในระดับเซียนจริงแท้ พอเลื่อนสู่ระดับไร้ช่องโหว่ก็เตรียมตัวเลื่อนสู่ระดับสงบนิ่งได้ในทันที
‘ความจริงข้าก็ไม่มีสักด่านเช่นกัน แต่จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งศึกษาวิถีของวรยุทธ์สามพิสุทธิ์เท่านั้น’
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเยี่ยนจ้าวเกอ ปราณวิญญาณไหลเวียนในโลกความเป็นจริง เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ชักนำปราณที่เคลื่อนไหวอย่างประเปรียว และเปลี่ยนแปลงไม่จบไม่สิ้นในโลกใบนี้ มารวมตัวกันที่เยี่ยนจ้าวเกอ
เป็นปราณเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นหนึ่งในห้าปราณเซียน!
การเข้าไปในร่างของปราณเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่กลืนกินเหมือนยามปกติ แต่ว่าประสานกับปราณพิสุทธิ์ในร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ
ปราณเซียนสองชนิดหลอมรวมกันอย่างเป็นทางการ เริ่มเกิดแสงที่ไร้สีขึ้น!
นั่นเป็นวายุเซียนจากการรวมสองปราณ
วายุเซียนเริ่มชำระล้างร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ แสดงถึงการเริ่มต้นของภัยพิบัติสัจพิศวง!
ภัยพิบัตินี้เกิดจากภายนอก ถ้าผ่านไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเก่งกาจปานใด ไร้เทียมทานขนาดไหนก็มีแต่ต้องตกตาย
ทว่าสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ ด่านนี้เหมือนกับเดินบนพื้นเรียบ!
เขาที่เดิมทีมีการสั่งสมมากมายอยู่แล้ว อาศัยการศึกษาหลักการฟ้าดินของมหาเทวะเสมอฟ้าจากร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ทำความเข้าใจเป็นครั้งสุดท้ายสำเร็จ เมื่อก้าวเท้าก้าวสุดท้ายออกก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ปรากฏการณ์ประหลาดในฟ้าดินตรงหน้าหายไปหมดสิ้น ภาพธรรมชาติใต้เขาเบญจคีรีคืนกลับมา เยี่ยนจ้าวเกอพ่นลมหายใจออกมา มันวนเวียนรอบร่างกาย ปราณพิสุทธิ์กับปราณเปลี่ยนแปลงผสมผสาน ไม่แบ่งแยกกันและกัน ไหลเวียนไม่หยุด!
เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ ไม่เพียงตัวเองจะไร้ช่องโหว่ ยังรู้สึกว่าโลกตรงหน้าเงียบสงบนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี