“แควก!”
หลิวเซิ่งเฟิงเหยียดนิ้วหนึ่งของตนแทงออกไป
บนแขนของเยี่ยฉงโจว พลันเกิดแผลเพิ่มขึ้นอีก
“…” เยี่ยฉงโจวกัดฟันกรอด ไม่ได้เปล่งเสียงร้องสักแอะ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องหลิวเซิ่งเฟิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มเล็กน้อย “ช่างเป็นบุรุษยอดฝีมือที่ไม่ยอมศิโรราบ”
กล่าวจบ เขาก็ชี้นิ้วเบาๆ อีกครั้ง ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของเยี่ยฉงโจว จึงยากที่จะหลบหลีกได้พ้น ทำได้เพียงเบิกตาโพลงมองไปบนแขนของตนที่มีรูเพิ่มขึ้นอีกแผลเท่านั้น
หลิวเซิ่งเฟิงหัวเราะ พลางกล่าวขึ้นอย่างคนวิปลาสว่า “ข้าชอบทรมานบุรุษยอดฝีมือที่สุด เพราะว่าพวกมันมักจะฝืนทนได้ค่อนข้างนานเสมอ ทำให้ข้าเล่นสนุกได้มากขึ้นอีกหน่อย”
เยี่ยฉงโจวเปล่งเสียงฮึดฮัด “ไอ้บ้า!”
เขาจ้องหลิวเซิ่งเฟิงเขม็ง “เจ้าทรมานข้า อยากให้ข้าบันดาลโทสะหรือไม่ก็สิ้นหวัง อยากให้ข้าจงเกลียดจงชังเจ้า อยากให้ข้าตกต่ำเป็นฝ่ายมารเหมือนเช่นเจ้ารึ? อย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลย!”
“ข้าบันดาลโทสะจริงๆ ปรารถนาจะสังหารคนวิปลาสเช่นเจ้าใจจะขาดจริงๆ แต่ข้าจะไม่มีทางให้ความคิดนี้กลืนกินข้า จนยินยอมพร้อมใจตกเป็นฝ่ายมารเช่นเจ้าเด็ดขาด!”
หลิวเซิ่งเฟิงกล่าวอย่างไม่รู้มิชี้ “เป็นเจ้าต่างหากที่อย่าได้ฝันกลางวัน เดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่แล้ว บัดนี้ร่างกายยังเจ็บหนักอีก จะสังหารข้าได้อย่างไร?”
บนใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มที่ราวกับจงใจกลั่นแกล้ง “หากตกเป็นมารละก็ พลังความสามารถของเจ้าจะมียิ่งพัฒนาขึ้นถึงขั้นเคียงนภาระยะท้าย หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็มีสิทธิ์เอาชนะข้าได้”
“อีกทั้ง ขณะเดียวกันกับที่ตกเป็นฝ่ายมาร เจ้าจะได้รับโอกาสหนึ่ง อาการบาดเจ็บของเจ้าจะฟื้นคืนเป็นปกติทั้งหมด เจ้าดูข้า ตอนแรกข้าถูกเยี่ยนจ้าวเกอโจมตีจนกายาเทพแห่งขุนเขาแตกซ่าน ขณะเดียวกันอาการบาดเจ็บก็สาหัสเสียจนแทบจะตะกายลุกไม่ขึ้น”
“ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แปลงกายเป็นมาร โดยให้ไอมารชำระล้างร่างกายก่อรูปใหม่ให้แก่ข้า อาการบาดเจ็บก็ฟื้นฟูทันที ข้าเพียงผู้เดียวโจมตีพวกเจ้าทั้งห้าคนได้สบายๆ”
หลิวเซิ่งเฟิงหัวเราะไปพลาง ขณะเดียวกันก็เหยียดนิ้วมือออกไปอีกครั้ง ปราณจิตราเจาะทะลุแขนของเยี่ยฉงโจวอีกครั้งหนึ่ง “ข้าปรารถนาดี ให้โอกาสเจ้าในการหวนกลับมาผงาดอีกครั้ง”
เยี่ยฉงโจวมีเหงื่อผุดชุ่มบนหน้าผาก เขากัดฟันกรอด ไม่สนใจคำปลุกปั่นของหลิวเซิ่งเฟิง
ฝ่ายหลิวเซิ่งเฟิงเองก็ไม่ร้อนใจเช่นกัน ยิ้มตาหยีมองไปทางหร่วนผิงที่อยู่อีกด้าน “ศิษย์น้องหร่วนแห่งหอคลื่นโหม หลายวันก่อนหน้าได้รับการต้อนรับจากเจ้า ณ ที่แห่งนี้ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก ตามเหตุผลควรจะคารวะตอบบ้างถึงจะถูก”
ขณะที่กล่าว เขาก็ทิ่มนิ้วลงไปบนแขนของหร่วนผิงจนเกิดรูเพิ่มขึ้นมาอีกแผลเช่นกัน
หร่วนผิงส่งเสียงฮึดฮัด เบือนศีรษะไปด้านข้างๆ ไม่ตอบหลิวเซิ่งเฟิง
หลิวเซิ่งเฟิงก็ยังคงไม่ใจร้อนเช่นเดิม ยิ้มพลางกล่าว “แท้จริงแล้วหากพวกเจ้าทั้งสองตกเป็นมารละก็ เมื่อร่วมมือกันทั้งคู่ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถต่อกรกับข้าได้เช่นกัน ไม่พิจารณาสักหน่อยหรือ?”
ผู้ตกเป็นมารคนอื่นอีกสองคนที่อยู่ด้านข้าง ต่างก็มองภาพฉากนี้ด้วยใบหน้าน่าขบขัน
หร่วนผิงเมินเฉยไม่เอ่ยปาก เยี่ยฉงโจวก็ยิ้มเย็นพลางพูดว่า “ฝันไปเถิด!”
หลิวเซิ่งเฟิงมองเยี่ยฉงโจว ก่อนจะมองหร่วนผิง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ทั้งเย็นเยือกและหยอกล้อ
เขาผุดลุกขึ้น เดินไปข้างหน้า และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ช่างเถิด ไม่เป็นไร แต่ไหนแต่ไรข้าผู้นี้ไม่ชอบชอบบังคับคน”
ขณะที่พูด เขาก็เคลื่อนที่มาถึงหลี่จิ้งหว่านและจางเหยา
เยี่ยฉงโจวสีหน้าเปลี่ยน “หลิวเซิ่งเฟิง เจ้าจะทำอะไร?”
หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มพลางเอ่ย “ก็ไม่มีอะไร คารวะศิษย์น้องเยาว์วัยทั้งสอง ทำความรู้จักกันเสียหน่อยก็เท่านั้น”
เขาหัวเราะพลางนั่งยองๆ ใกล้กับหลี่จิ้งหว่านและจางเหยา หญิงสาวทั้งสองยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ หลี่จิ้งหว่านเม้มริมฝีปากแน่น จางเหยากัดฟันกรอด ปิดเปลือกตาลง
หลิวเซิ่งเฟิงมองหญิงสาวทั้งสองด้วยความสนอกสนใจ สายตาตกไปอยู่บนร่างของหลี่จิ้งหว่านเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ชี้นิ้วหนึ่งออกไป
หัวไหล่หลี่จิ้งหว่านพลันเกิดรูแผลขึ้นมาอีกแผลหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี