เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองพายุนิมิตทมิฬ ภายในดวงตาขวาพลันทอประกายแสงสายฟ้าสีม่วง
ฟ้าดินที่เดิมทีเป็นเพราะพายุหมุนสีดำและขมุกขมัวทั้งผืน ยามนี้พลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะแสงส่องสว่างจากอสนีบาต
ชายหนุ่มเปล่งเสียงแผ่วเบา ก่อนจะปลอ่อยสายฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินออกจากนัยน์ตาขวาของตน ก่อนที่มันจะตกลงบนเสาหินมหึมาที่อยู่ข้างๆ
พื้นผิวเสาหินมีริ้วแสงหลากสายสาดแสงขึ้นใหม่อีกครั้ง จากนั้นส่องแสงจ้าตาแผ่ขยายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดทาง
แสงสุกใสทุกสายพันเกี่ยวเข้ากับพายุหมุนสีดำพร้อมกัน หยุดนิ่งพายุหมุนไว้อีกครา
อีกด้านหนึ่ง มืออาหู่ถือเตากลืนดินไว้ พลางนั่งยองๆ ลงบนพื้น ให้เตากลืนดินสัมผัสทรายดูดสีขาวหิมะที่ลุกลามเหล่านั้น
ถึงแม้ว่าไม่อาจกระตุ้นประสิทธิผลของเตากลืนดินได้เอง ทว่าเพียงแค่ทั้งสองสิ่งสัมผัสกัน ภายในเตากลืนดินก็บังเกิดแรงดูดอันพิศวงออกมาฉับพลัน ทว่าไม่ได้ดูดกลืนทรายดูดสีขาวแต่อย่างใด เพียงแต่หลอมเหลวเม็ดทรายเปลี่ยนจากขาวดุจหิมะกลับเป็นรูปลักษณะเดิมอย่างรวดเร็วเท่านั้น
เหลียนอิ๋งเบิกตาโพลงมองดูภาพฉากนี้ รอยยิ้มบนใบหน้ามลายหาย ทว่าสีหน้ายิ่งเหยเก
เขาออกแรงคว้ากระบี่สั้นสีดำที่ยังเสียบอยู่บนแขนของตนไว้ ออกแรงกรีด ขยายปากแผลให้ใหญ่ขึ้น โลหิตสดหยดลงสู่ผืนทรายมากขึ้น
ถึงกระนั้นเทียบกับการกลืนกินของเตากลืนดิน การกระทำของเหลียนอิ๋ง ปรากฏชัดว่าเป็นเพียงน้ำน้อยแพ้ไฟเท่านั้น
เขายืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ภาพเบื้องหน้ารางเลือนลงเรื่อยๆ เช่นกัน
ระทึกอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกที่ระงับความอ่อนเพลียและเย็นเยือกไว้ไม่อยู่บัดนี้เด่นชัดมากขึ้น จนในที่สุดเหลียนอิ๋งก็รู้สึกได้ว่าชะตาชีวิตกำลังไหลจากภายในร่างของตนผ่านไป ราวกับสายน้ำอย่างไม่หยุดยั้ง
ร่างกายของเขาค่อยๆ ล้มลงที่พื้น บนแขนยังมีกระบี่สั้นสีดำเสียบอยู่ แสงสีดำไหวเวียน ก่อเกิดความรู้สึกงามวิจิตรอย่างคาดไม่ถึง
ส่วนผิวของเหลียนอิ๋งค่อยๆ ซีดขาวลง และยังเริ่มแห้งเหี่ยวอย่างต่อเนื่อง
ตราประทับยันต์ที่ประทับอยู่บนพื้นยังคงคิดจะต่อต้านเตากลืนดิน ทว่าแต่ไรก็ไม่อาจสู้ได้อยู่แล้ว ยิ่งเวลานี้ไม่ได้รับการบำรุงจากโลหิตและปราณบริสุทธิ์จากเหลียนอิ๋ง จึงยิ่งทวีความอ่อนแรง
ริ้วแสงตราประทับยันต์ก็เริ่มถูกเตากลืนดินดูดกลืนด้วยเช่นกัน
อาหู่ยืนอยู่ตรงนั้น ยื่นมือแคะหูตนเอง เหลียวมองเหลียนอิ๋งที่ชะตาชีวิตค่อยๆ หายไปด้วยหางตา ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ จากนั้นก็ไม่สนใจต่อไปอีก เขาเดินไปทางกลุ่มจวินลั่วที่จมอยู่ในทรายดูด ช่วยเหลือพวกนางให้หลุดพ้นจากอันตราย
เบื้องหน้าเหลียนอิ๋งค่อยๆ เป็นความพร่าเลือนผืนหนึ่ง เขาพยายามมองไปยังยังจวินลั่ว ก่อนจะเห็นความความรู้สึกเหลือเชื่อบนใบหน้าของนางยังไม่หายไป
หากตนเองต้องวอดวายแล้ว นี่ไม่น่าหวาดกลัวเท่าไร ที่น่าหวั่นใจคือเส้นทางสู่ความตายไม่มีเด็กสาวผู้นั้นร่วมเดินทางไปกับตน
สุดท้ายก็ต้องสูญเสียแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวสายนั้นไปตลอดกาลหรือ? กลับสู่โลกที่เปี่ยมด้วยความมืดมิดและสิ้นหวังอีกครา
“ข้าไม่ต้องการ!” เหลียนอิ๋งรำพึงรำพันเสียงเบากับตนเอง เอี้ยวคออย่างไร้เรี่ยวแรงอีกทั้งยังแสนเข็ญ ปรารถนาจะหาคนที่มอบกระบี่สั้นสีดำแก่ตนในตอนแรก “นี่ไม่เหมือนกับที่พวกเขากล่าวไว้…ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้…ไม่ควร…”
ดวงตาทั้งสองของเหลียนอิ๋งยังคงเบิกกว้าง ไม่ยินยอมปิดเปลือกตา หากกลับสูญสิ้นแสงโชติช่วงไปแล้ว
เหยาซานที่ปลอมกายเป็นผู้อาวุโสหลี่ ไม่ได้มองเหลียนอิ๋งสักวูบเช่นเดียวกัน
สำหรับเขาแล้ว หมากตัวนี้ได้ก่อประโยชน์ถึงขั้นที่พึงมีแล้ว ขณะเดียวกันคุณค่าก็ได้ใช้ไปจนหมดสิ้น ไม่จำเป็นต้องเปลืองความคิดไปมากกว่านี้อีก
บัดนี้เขาจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอไม่วางตา เพ่งมองแสงสายฟ้าที่ออกมาจากในดวงตาข้างขวาของชายหนุ่ม!
พลังที่น่าพรั่นพรึงทำให้จจิตใจของเขากระบกระส่าย ร้อนรุ่มอยูในใจ ด้วยต้องการจะครอบครอง
‘ผู้อาวุโสหลี่’ ระงับความละโมบโลภมากที่เกิดขึ้นในใจลงไปทันควัน ฟื้นคืนความสุขุมขึ้นใหม่อีกครั้ง “ดียิ่ง มังกรทมิฬพิฆาตใช้พลังเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้ค่อยๆ หมดไปได้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้นตรึงความสนใจของเขาไว้ได้ด้วย”
เขาเคลื่อนสายตาไปยังอาหู่ที่กำลังใช้เตากลืนดินควบคุมมังกรขาวพิฆาต เวลาเดียวกันนั้นก็ช่วยผู้คนจากภายในทรายดูด ลำแสงในดวงเนตรทั้งสองของ ‘ผู้อาวุโสหลี่’ ยิ่งเป็นประกาย “บ่าวรับใช้ที่พลังฝึกปรือขั้นปรมาจารย์ระดับสุดยอดผู้นี้ ก็ถูกแยกออกไปสำเร็จแล้วเช่นกัน..”
‘ผู้อาวุโสหลี่’ สูดหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ใช้ปราณจิตราส่งทอดกระแสจิตให้แก่สหายข้างกาย ‘ตอนนี้แหละ ลงมือ!’
‘เจ้าตรึงเจ้าปี่เซียะภูเขาตัวนั้นไว้ ข้าจะเอาชีวิตเยี่ยนจ้าวเกอ!’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี