เฟิงอวิ๋นเซิงไถ่ถามเยี่ยนจ้าวเกอเยี่ยนจ้าวเกอโดยใช้ปราณจิตราส่งกระแสเสียง ชายหนุ่มเองก็ตอบในวิธีเดียวกัน ‘ในเมื่อรู้ว่าพวกเขาต้องการฉกฉวยโอกาสตอนที่มังกรทมิฬพิฆาตมา ก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายมาปลิดชีวิตข้า ข้าย่อมตั้งใจสังเกตเป็นธรรมดา’
‘ตอนที่มังกรทมิฬพิฆาตมาถึง ข้าเรียกทุกคนให้เข้าใกล้มาทางข้าด้วยกัน ในตอนที่ทุกคนเขยิบใกล้เข้ามา ต่างก็มองข้าเป็นธรรมดา อยากจะรู้ว่าข้ามีวิธีอะไร’
‘มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่นอกจากมองข้าแล้ว ยังสังเกตตำแหน่งของอาหู่กับพ่านพ่านตลอดเวลา ข้าพลันหวนนึกอย่างละเอียด ในตอนที่มังกรทมิฬพิฆาตมาคราแรก ก็คล้ายกับว่าพวกเขามีท่าทีเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน’
‘พวกเขาจะพะวงอาหู่กับพ่านพ่านไปไย?’
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยพลางเบะปาก ‘ตอนนั้นข้าถือว่าพวกเขาทั้งสองล้วนชอบชายชาตรีไปชั่วคราวก่อน ชอบพออาหู่แล้ว…’
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอ กระนั้นอาหู่ที่กำลังจะจับกุมเหยาซาน ร่างกายพลันสั่นเทิ้มโดยไร้สาเหตุ จนเกือบจะปล่อยให้อีกฝ่ายหาโอกาสจบชีวิตตัวเองได้
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็กล่าวต่อไปโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ‘…แต่ว่าเหตุใดพวกเขาต้องสนใจพ่านพ่านด้วย? หรือว่ารสนิยมพิลึกจนถึงขั้นแล้ว?’
เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ร้องให้ไม่ออกอยู่บ้าง
แม้ว่าชายหนุ่มจะพูดจาหยอกล้อ ทว่าน้ำเสียงกลับไม่เจืออารมณ์ขันเลยแม้แต่น้อย ‘ในสายตาโลกภายนอก อาหู่ไม่เพียงเป็นบริวารตามติดของข้าเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็นองครักษ์ของข้าด้วยเช่นกัน’
‘อาหู่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็แล้วไป แต่ขอเพียงอาหู่อยู่ข้างกายข้าง ผู้ที่คิดลอบสังหารข้าต่างรู้ดีว่าหากต้องการฆ่าเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ต้องฆ่าหู่ก่อน’
‘พวกเขาไม่มีมหาปรมาจารย์ ครั้นจะลงมือกับข้า ก็จำต้องใคร่ครวญตีฝ่าการพิทักษ์ของอาหู่เป็นธรรมดา’
‘ส่วนพ่านพ่านก็อยู่ใกล้ๆ ข้างกายข้าตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน สัตว์วิเศษคุ้มกันเจ้าของ ยามปกติดูไปแล้วพ่านพ่านจะเกียจคร้านไร้พิษภัยถึงเพียงใด แต่เผ่าพันธุ์ปี่เซียะภูเขาเองก็เป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษจำนวนน้อยไม่กี่ชนิดที่มีพรสวรรค์พิเศษ พลังความสามารถแกร่งกล้าด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่ร่างมหึมาเช่นนี้ ยืนข้างกายข้าล้วนกลายเป็นกำแพงกั้นโดยธรรมชาติ ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องอ้อมผ่านไปจึงจะใช้ได้’
มังกรทมิฬพิฆาตค่อยๆ ผ่านพ้นไป ริ้วแสงบนเสาหินเริ่มมลายไปเฉกเช่นเดียวกัน แสงอสนีบาตที่สาดแสงวามวาบในดวงตาเยี่ยนจ้าวเกอเองก็เริ่มมีแนวโน้มจะมืดสลัวลงแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเหยาซานถูกอาหู่จับไปแล้ว ค่อยกล่าวเสียงเรียบว่า ‘มังกรทมิฬพิฆาตนั้น ไม่เพียงสร้างความวุ่นวายโกลาหล ขณะเดียวกันก็เพื่อจะผลาญพลังของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์บนร่างข้าให้หมดไปด้วยเช่นกัน’
เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ รุดหน้าเอ่ยกับอาหู่ประโยคหนึ่ง
อาหู่พยักหน้า “ค้นหาแล้ว มีถุงย่อส่วนใบหนึ่งจริง แต่ข้ายังไม่มีเวลาดูว่าภายในมีสิ่งใดกันแน่”
ฝ่ายหญิงสาวรับกระเป๋าย่อส่วนมาแล้ว ครั้นนางเปิดมันออก ก็พบศพของผู้อาวุโสหลี่อยู่ภายในดังคาด
ผู้อาวุโสหลี่สิ้นใจเป็นเวลานานแล้ว เลือดลมศพค่อยๆ เสื่อมทรุดลงสิ้น ทว่าครั้งยังมีชีวิตเขาเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา เลือดลมเนื้อหนังมังสาแข็งแกร่ง ถึงจะเสื่อมทรุด เพียงแต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้มีเค้าส่อว่าจะเน่าเปื่อย
จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงคนๆ อื่นล้อมขึ้นมา มองดูผู้อาวุโสหลี่ที่ตายจากไปแล้ว พร้อมทั้งมองดูเหยาซานที่ถูกอาหู่จับกุม โดยที่รูปลักษณ์ภายนอกยังคงเป็นรูปโฉมผู้อาวุโสหลี่อยู่
บนใบหน้าผู้อาวุโสหลี่ตัวจริงแข็งค้างแล้ว ทว่าความตะลึงพรึงเพริดยังคงไม่เลือนหายไป นัยน์ตาเบิกโพลง แววตาแข็งค้าง ตายตาไม่หลับ
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงเบื้องหน้าผู้อาวุโสหลี่ มือหนึ่งรองถือเสาหินมหึมา กระนั้นยังคงลดกายลง ยื่นมือซ้ายออกไปปิดเปลือกตาทั้งสองให้ผู้อาวุโสหลี่แผ่วเบา
“คาดคั้นเอาเรื่องที่พวกเขารู้มาให้หมดจด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยไว้แล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอผุดลุกขึ้นอีกครั้ง กล่าวพูดกับอาหู่
อาหู่ตอบรับอย่างไม่ลังเล “ขอรับ คุณชาย”
สีหน้าเหยาซานอึมครึม ก้มหน้าไม่พูดจา สหายของเขาก็ดิ้นรนกล่าว “อย่างไรก็ล้วนต้องตายทั้งสิ้น ยังหวังให้พวกข้าสารภาพ?”
ชายร่างใหญ่อย่างอาหู่เหลียวมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะแยกเขี้ยวยิงฟัน แย้มยิ้มจนหน้าตาอัปลักษณ์ “บางเวลา แท้จริงแล้วความตายไม่น่ากลัว”
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองพายุนิมิตทมิฬเบื้องหน้าที่ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่สภาพตามปกติ ก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง “เขานิมิตทมิฬ…”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ แล้วตรวจสอบสิ่งของที่อาหู่ยึดกลับมาจากพวกเหยาซานทั้งสองคน
ถึงกระนั้นหลังจากเยี่ยนจ้าวเกอคิดทบทวนครู่หนึ่ง กลับสามารถยืนยันได้ว่าถ้าหากเป็นเครื่องหยกที่สมบูรณ์ อักขระย่อมต้องสมบูรณ์ จะเป็นค่ายกลวิญญาณขนาดเล็กค่ายหนึ่ง
ภายในค่ายกลวิญญาณขนาดเล็กนี้ บางทีอาจจะซ่อนของที่ค่อนข้างมีมูลค่าจำนวนหนึ่งไว้
‘ดูจากลักษณะด้านที่แตก กับระดับพลังชีวิตที่แผ่กระจายทั้งสี่ทิศ เครื่องหยกนี่เพิ่งถูกแบ่งได้ไม่นาน’ เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ‘เครื่องหยกอีกครึ่งก้อน อาจจะสืบทอดอยู่ในแถบวายุพิภพนี้ด้วยก็เป็นได้ เป็นไปอย่างยิ่งว่าอยู่ในเกาะทรายเช่นกัน’
‘ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็พอจะสั่งคนให้ไปสืบเสาะค้นหาอย่างละเอียดได้อยู่สักหน่อย’
‘อักขระวิญญาณชนิดนี้ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็พบได้ค่อนข้างน้อยเช่นกัน ปัจจุบันผู้คนของโลกแปดพิภพพอจะสามารถจำแนกได้กระจ่างชัด และผู้คนที่เปิดค่ายกลน่าจะมีไม่เท่าไร เช่นนี้แล้ว เกินกว่าครึ่งข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในค่ายกลวิญญาณ น่าจะยังคงไม่ได้ถูกถอดความหมาย’
ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอคิด เขากลับไม่ได้นำมันมาใส่ใจมากนัก เพียงยักไหล่ด้วยความอย่างไรก็ได้ แล้วเก็บเอาเครื่องหยกขึ้นมาพร้อมกับหยกเลียนสังหาร
อาหู่พาพวกเหยาซานทั้งสอง ทะลวงเข้าไปในกระเป๋าย่อส่วนใบนั้นโดยตรง
ต่อจากนี้ทุกคนยังต้องเร่งรีบเดินทาง เพื่อออกจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกให้เร็วที่สุด
ส่วนเรื่องประเภทบีบบังคับให้สารภาพนี้ ไม่อาจเร่งได้ ต้องทรมานช้าๆ จึงจะทะลวงแนวป้องกันทางจิตใจของเชลยได้ง่ายยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บเอากระเป๋าย่อส่วนไว้ แล้วนำหน้าทุกคนเดินทางต่อไป
ถึงจะไม่รู้ว่าอาหู่มีกระบวนการอย่างไรที่จะทำให้พวกเหยาซานทั้งสองเปิดปาก ทว่าขณะเดียวกันที่บรรดาจอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงใต้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสหลี่ นำศพของผู้อาวุโสหลี่เดินทางด้วย บนดวงหน้าแต่ละคนล้วนเผยให้เห็นสีหน้ารอคอยและใคร่แก้แค้น
สีหน้าท่าทางเฟิงอวิ๋นเซิงเหมือนเช่นปกติ ส่วนจวินลั่วและเหลียนเฉิง ทั้งสองมองดูเยี่ยนจ้าวเกอเก็บกระเป๋าย่อส่วนที่บรรจุกลุ่มอาหู่ทั้งสามคนขึ้นมา ต่างก็มีแววตาซับซ้อนอยู่บ้าง
———————–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี