“จอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์…” ภายในกระท่อม เยี่ยนจ้าวเกอหวนนึกย้อนถึงศัตรูที่เมื่อสักครู่สัมผัสได้ว่าจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างๆ รวมถึงรูปแบบการหายใจขับพิษของอีกฝ่าย มุมปากของเขาพลันคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม “คนรู้จักเก่ากระมัง?”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะเล็กน้อย เก็บความคิดลง แล้วตั้งสมาธิจมอยู่ในภวังค์การหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนอีกครั้ง
ขนบนปีกเซียนกระเรียนทุกๆ เส้นยามนี้กำลังสั่นไหวเล็กน้อย ขนนกทุกเส้นล้วนราวกับสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่มีชีวิตอยู่โดยจริงแท้
ระหว่างขนนกกระเรียนแต่ละเส้น ต่างส่งเสียงนกกระเรียนร้องดังใสกังวานออกมา เสียงยิ่งดังสนั่นก้องขึ้นเรื่อยๆ ตามการหลอมกลายสภาพของเยี่ยนจ้าวเกอ
ในที่สุด เสียงนกกระเรียนร้องก็ทุ้มต่ำลงไป แววตาเยี่ยนจ้าวเกอทอประกายแวบ ปีกเซียนกระเรียนเปลี่ยนเป็นเงียบสงบโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเสื้อคลุมขนกระเรียนตัวหนึ่งที่พาดคลุมอยู่บนร่างของเขา
ครานี้ไม่มีผู้ได้ขัดขวางเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เขาจึงกวาดมือ ของหลากชิ้นบนโต๊ะเตี้ยรวมถึงศิลาเซียนส่องชะตา ต่างก็ตกมาอยู่ในมือกำมือของเขาทั้งสิ้น
ชายหนุ่มยืนอยู่ในกระท่อม ค้อมคำนับทางกระท่อมครั้งหรึ่ง “ท่านผู้อาวุโสชาวกระเรียนล่องลอย เยี่ยนจ้าวเกอขอขอบคุณ ณ ที่นี้”
เขาสวมคลุมอยู่ด้วยเสื้อคลุมขนกระเรียนออกจากกระท่อม ก่อนจะเห็นสนามต่อสู้ที่อยู่ด้านนอกกระท่อมแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
ในยามที่มหาปรมาจารย์ปิดใบหน้าที่กลายเป็นมารผู้นั้นหลีกหนี คู่ต่อสู้ทั้งสามของอาหู่ ต่างก็รู้สึกเยียบเย็นลึกๆ ในใจเช่นกัน
การหลีกหนีของมหาปรมาจารย์ผู้นั้น อธิบายได้ว่าเขาไม่มีความสามารถจะล้มเยี่ยนจ้าวเกอได้
ส่วนชายร่างสูงใหญ่ที่เสมือนกับเสือหิวโซจริงๆ ก็ไม่ปานตรงหน้า ผู้ต่อสู้ต้านศัตรูสามเพียงลำพังก็ยังคงครองความได้เปรียบ โจมตีจนพวกเขาจนยากรับมือขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าจะใจเต้นกับของวิเศษที่อยู่ในกระท่อม ทว่าเรื่องราวผกผันเป็นเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีหวังแล้ว
หากฝืนสู้ต่อไป อาจจะต้องพลีชีพตนเองอยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ
คู่ต่อสู้ทั้งสามของอาหู่ล้วนเกิดความคิดถอยฉับพลัน ต่างเริ่มหาทางหนีทีไล่ เสาะหาแผนการปลีกตัว
ตอนที่มีศัตรูร่วมกัน ทั้งสามคนสามารถประสานงานได้อย่างเป็นที่รู้กัน ดำเนินการร่วมมือ จู่โจมศัตรูพร้อมกัน
ทว่ายามเมื่อพวกเขาเกิดความคิดถอยในใจ เตรียมถอยทัพออกไป แนวโน้มในการร่วมมือก็กลายเป็นแพ้ภัยตนเองเช่นกัน สิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจตอนนี้ล้วนคือการผละหนีปลีกตัวของตนเอง
แต่ไรระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้มีมิตรภาพอะไร อีกฝ่ายบาดเจ็บล้มตาย ย่อมไม่สนใจแม้แต่น้อย
ถ้าหากการตายของอีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนให้ตนเองรอดพ้นอันตรายได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามล้วนไม่รู้สึกผิดทั้งสิ้น
ด้วยเหตุฉะนี้ จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์ทั้งสาม จึงร่วมกันออกแสดงละครน้ำดีฉากหนึ่ง
ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็วกว่าอาหู่ ขอเพียงวิ่งให้เร็วกว่าอีกสองคน ก็เพียงพอแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมหาปรมาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมีรากฐานเพียบพร้อมที่สุด พลังความสามารถก็แกร่งที่สุดเช่นกัน ทั้งยังเชี่ยวชาญสุดยอดวิชาสุดอย่างสุริยันทะยานบูรพา เดิมทีควรจะมีความหวังตีฝ่าวงล้อมมากที่สุด
กระนั้นเขาก็ต้านอาหู่ที่จ้องเขาอยู่โดยเฉพาะไม่ไหว อีกทั้งชายร่างใหญ่นั้นยังฟาดดาบแสงคลื่นครามลงบัดดล ใช้อานุภาพดาบบินขว้างออกไป เสียดแทงเขาด้วยความเย็นเยียบหนึ่ง
ท้ายที่สุดมีเพียงมหาปรมาจารย์คนหนึ่งเท่านั้นที่เหินฟ้าหนีออกไปได้สำเร็จ และเหลือไว้อีกคนหนึ่ง กลายเป็นวิญญาณใต้กรงเล็บเสือที่หิวโซ ถูกอาหู่โจมตีสังหารสิ้นใจคาสนามรบ
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงยังเบื้องหน้าอาหู่ ยิ้มเอ่ย “เจ้ารูปร่างลักษณะเช่นนี้ หยุดเด็กน้อยร้องไห้ยามค่ำคืนได้แล้ว”
บนร่างอาหู่ทิ้งรอยเลือดโชกไว้ ไอสังหารพุ่งทะยานทั้งกาย คล้ายเทพสังหารก็ไม่ปาน
เขายกโค้งมุมปากระบายยิ้ม “น่าเสียดายที่ไม่สามารถหยุดไว้ได้ทั้งหมด”
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ก็รำพันกับตัวเอง “ใช่สิ น่าเสียดายไม่อาจหยุดไว้ได้ทั้งหมด…”
อาหู่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณชาย มีอะไรหรือขอรับ?”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ ผุดภาพหน้ากากแตกออกเป็นชิ้นๆ บนดวงหน้าจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตผู้นั้น จนเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งซีก แล่นปราดผ่านขึ้นมาในสมองอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี