หลังจากมองส่งหยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ปลีกตัวออกจากยอดเขามหาคุณ กลับที่พำนักของตนทันที
ระหว่างทาง เขาเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังตั้งใจรอเขาโดยเฉพาะ
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวทักทาย “ศิษย์พี่สวี ในที่สุดท่านก็กลับสำนักแล้วหรือ? ทางเมืองซู่โจวรับช่วงต่อได้ดีแล้วกระมัง?”
เรือนร่างสูงใหญ่แข็งแรง รูปลักษณ์ตัวตรงสง่าผ่าเผยผู้นั้น ก็คือสวีเฟยนั่นเอง
“ท่านพี่เฟย!” อาหู่พบหน้าก็เอ่ยทักทายเช่นกัน
สวีเฟยพยักหน้า “จ้าวเกอ หู่ถิง”
เยี่ยนจ้าวเกอพาสวีเฟยมายังที่พำนักของตน หลังแต่ละฝ่ายนั่งลงแล้ว สวีเฟยก็เอ่ยถามตรงไปตรงมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “จ้าวเกอ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะยังอยู่ในระดับปรมาจารย์ แต่ทำลายสองค่ายกลมารต่อเนื่อง ทั้งยังเคยพูดคุยกับผู้ที่กลายเป็นมารมากมาย”
“ทั่วทั้งสำนักตอนนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจต่อมารนพยมโลก แดนมาร ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต และผู้กลายเป็นมารมากที่สุดแล้ว”
“ข้ามาเยือนคราวนี้ มีเรื่องหนึ่งจะขอคำชี้แนะ”
ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยเอ่ย “ศิษย์พี่สวีต้องการจะถามว่า ผู้กลายเป็นมารมีความเป็นได้ที่จะกลับกลายเป็นร่างมนุษย์ได้หรือไม่กระมัง?”
สวีเฟยผงกศีรษะเชื่องช้า “บางทีอาจจะหวังเกินตัวไป แต่ถ้ามีความหวังจริง และคนผู้นั้นคือศิษย์พี่สือจริงแท้ ข้าก็อยากลองดูสักหน่อย”
เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ไม่ได้แกล้งโง่กับสวีเฟย “ศิษย์พี่สวี พูดตามตรง ข้าเองก็หวังว่าศิษย์พี่สือซงเทาจะสามารถกลับตัวกลับใจได้ หากแต่น่าเสียดาย เท่าที่ข้ารู้ตอนนี้ ผู้คนที่สัมผัสกับไอมารทั้งภายในและภายนอกโดยสมบูรณ์ หลังความคิดในใจปรากฏกลายเป็นจริง ตกเป็นมารโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่มีหนทางฟื้นคืนกลับมาเป็นคนอีกครั้ง”
“ข้าก็หาได้รอบรู้ไปเสียทุกสิ่งไม่ ไม่กล้าพูดว่าไม่มีวิธีทางแน่ ทว่าแค่เท่าที่ข้ารู้ล่ะก็ ข้าไม่มีหนทางแล้ว”
ความสัมพันธ์ทั้งสองสนิทชิดเชื้อ สวีเฟยเป็นคนที่ตรงไปตรงมาคนหนึ่ง จิตใจแน่วแน่ศรัทธาอีกทั้งยังเด็ดเดี่ยวพอ ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่กลัวที่พูดกับเขาตรงไปตรงมากระจ่างชัด
ดังคาด สวีเฟยได้ฟังแล้วก็ทอดถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ข้าเพียงแค่คว้าความหวังอันริบหรี่ไว้ เพียงแต่หากจ้าวเกอก็ไร้วิธีเช่นกัน กระนั้นเกรงว่าพูดยากจริงๆ แล้ว”
“ผู้กลายเป็นมารทั่วไป ผู้ที่ตัดสินใจท้ายที่สุด ก็คือตนเองเสมอ” เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ยเสียงเบา
“หลังจากกลายเป็นมาร คนไม่ใช่คนอีกต่อไป หากแต่เป็นมารร้ายนพยมโลก เป็นการดำรงอยู่อีกจำพวกหนึ่งในโลกหล้านี้ หรืออาจกล่าวได้เช่นกันว่าเป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง”
“ถึงแม้ว่าผู้กลายเป็นมารล้วนมีความทรงจำครั้นยังเป็นมนุษย์ไว้ แต่พวกมารร้ายฆ่าคน เหมือนเช่นพวกเราฆ่าวัวแกะเป็ดไก่อย่างไรอย่างนั้น พวกเขา แท้จริงแล้วรู้สึกว่าความทรงจำครั้นเป็นมนุษย์โดยส่วนมาก ก็เหมือนความทรงจำชาติที่แล้วที่เหลือไว้หลังจากกลับชาติมาเกิด”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “ถ้าหากสามารถทำได้ พวกเราต่างวาดหวังว่าศิษย์พี่สือจะสามารถกลับใจได้ แต่ตัวเขาเองจะยินยอมหรือไม่เล่า?”
“แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการสมมติ ล้วนเริ่มเกิดขึ้นจากที่ข้าเคยพูดไว้ว่าผู้ปกปิดใบหน้าที่จู่โจมแทงสังหารข้าผู้นั้นเป็นศิษย์พี่สือ”
หลังจากได้ฟังปัญหาของเยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟยก็ปลดถุงสุราบริเวณเอวเงียบๆ หลังจากเปิดจุกออกแล้ว เขากลับไม่ได้ดื่มเต็มที่เหมือนเช่นก่อนหน้า ทว่าดื่มอึกเชื่องช้า
เขากล่าวอย่างช้าๆ “ที่เจ้ากล่าวมา ข้าเข้าใจดี”
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอนิ่งเงียบไม่พูดจาครู่หนึ่ง จึงปริปากกล่าวถาม “พวกเราไม่รู้ว่า ในมือศิษย์พี่สือตอนนี้มีชีวิตคนอยู่หรือไม่”
“ต่อให้คนที่เขาสังหารจะไม่ใช่ศิษย์ร่วมสำนักของพวกเรา แต่ท่านและข้าต่างก็รู้ สังหารผู้คนในฐานะมนุษย์ กับสังหารคนในฐานะมารนพยมโลก เป็นสองเรื่องที่ลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ชายหนุ่มมองทางสวีเฟย “ประมือกันหลายครั้งมานี้ พวกเรารู้สึกได้ว่า นักฆ่าผู้นั้น แม้จะไม่ใช้วิชายุทธ์ที่ตนเองเชี่ยวชาญจริงๆ แต่เจตจำนงสังหารล้วนเยือกเย็นถึงที่สุด เขาต้องการส่งพวกเราไปตายอย่างแท้จริง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี