ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 29

‘หากยึดตามความเร็วของความก้าวหน้าในการฝึกฝนวรยุทธ์ของเจ้าของร่างเดิมแล้ว การจะบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกคงต้องรอถึงปีหน้า หรือไม่ก็สิ้นปีนี้กระมัง’

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าผ่อนคลาย ปราณจิตราทั่วร่างกายเริ่มมีท่าทีว่าจะพุ่งทะลุออกจากร่างกาย

จากปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในสู่ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกเป็นด่านยากอย่างยิ่งยวด ราวกับมีคลองหงโกว[1]ขวางกั้น มีจอมยุทธ์ขั้นจิตราชั้นในระดับสูงสุดจำนวนมากติดอยู่กับด่านนี้ กว่าจะผ่านไปได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว

บางคนใช้เวลาในการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นมากกว่าระยะเวลารวมทั้งหมด ที่ใช้บรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง จนถึงขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายเสียอีก

ทว่าผลที่ได้มากับความยากลำบากในการบรรลุขั้นปราณ ก็คือสามารถพัฒนาตนเองขึ้นไปได้มากขึ้น

สำหรับจอมยุทธ์เช่นเยี่ยนจ้าวเกอ การบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายสู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นนั้น ไม่เพียงเป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวจอมยุทธ์เอง แต่ยังหมายความว่าสามารถขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับกลางได้ดั่งใจปรารถนาอีกด้วย

ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในสามารถขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับล่างได้อย่างอิสระ แต่การขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับกลางนั้นก็เหมือนกับการที่จอมยุทธ์ระดับหลอมกายขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับล่าง ซึ่งเป็นการยากที่จะดึงพลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษออกมาใช้ได้

แน่นอนว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีอาวุธวิเศษระดับกลางอยู่แล้ว

ฉะนั้นสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว การบรรลุสู่ขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอก จึงเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้หลังจากใช้อาวุธวิเศษ ไม่ใช่เพียงแค่ความสามารถของตนเองเท่านั้น

หลังจากที่ข้ามมิติครั้งที่สองมาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงระดับของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในเอาไว้

ไม่ใช่เพราะไม่สามารถบรรลุได้ เยี่ยนจ้าวเกอมีวิธีมากมายสำหรับแก้ไขอุปสรรคและด่านยากของเจ้าของร่างเดิมอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการก็ทำได้ทุกที่ทุกเวลา

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงอดทนรอ เพราะตั้งใจจัดการสรุปตำราคัมภีร์ต่างๆ ในสมองของตนอย่างจริงจังก่อน จากนั้นนำมันมาปรับใช้กับความเป็นจริง ณ ตอนนั้น ขณะเดียวกันก็ปูทางสำหรับการพัฒนาตัวเองในภายภาคหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

บัดนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอนาน

อยากจะบรรลุเมื่อใด ก็สามารถบรรลุได้เมื่อนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งนิ่งๆ อยู่บนพื้น บรรยากาศในห้องช่างเงียบเชียบ ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง ฝุ่นผงบนพื้นก็เหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างกดทับไว้ให้ลอยขึ้นไม่ได้

บัดนี้จุดลมปราณมากมายทั่วร่างกายราวกับมีชีวิตเป็นของตนเองอย่างไรอย่างนั้น พวกมันเปิดปิดไม่หยุดเหมือนกับคนที่กำลังหายใจอยู่

ช่วงหายใจเข้าครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง เป็นจังหวะที่คล้องจองสม่ำเสมอ

อีกทั้งในระหว่างที่เปิดปิดเพื่อหายใจ ภายในจุดลมปราณแต่ละจุดๆ ก็มีปราณดุจเมฆหมอกลอยขึ้นมา

ความถี่ในการหายใจค่อยๆ ยาวนานมากขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอมักจะหายใจหนึ่งครั้ง แม้ผ่านไปหลายนาทีแล้ว และทุกครั้งที่หายใจ จุดลมปราณก็จะสั่นไหวครั้งหนึ่ง

ทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนกับมีควันสีขาวบางๆ ปกคลุมไว้ชั้นหนึ่ง ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นคนสีขาวรูปหนึ่ง สงัดเงียบไร้สุ้มเสียง เขานั่งนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น ราวกับว่ากำลังตระเตรียมบางสิ่งบางอย่างอยู่

ทันใดนั้น ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสั่นสะท้าน หมอกควันที่แนบแน่นอยู่กับผิวกายค่อยๆ แตกร้าวประหนึ่งเครื่องกระเบื้องเคลือบ เกิดเป็นรอยร้าวถี่ยิบราวกับใยแมงมุม

มีปราณจิตราสีทองอ่อนที่ไร้รูปร่างและไร้สีสันหลายสาย กำลังไหลเวียนไปมาและแทรกออกจากรอยร้าวเหล่านั้น ทิ้งเป็นร่องรอยมากมายในบรรยากาศ

มีเสียงคำรามยาวๆ ประหนึ่งเสียงมังกรคำราม ดังออกมาจากปากของเยี่ยนจ้าวเกอ เสียงนั้นดังทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ

รอยร้าวบนร่างกายของเขาหนาแน่นขึ้น จนท้ายที่สุดเสียงมังกรคำรามก็ดังสนั่นโสตประสาท หมอกสีขาวที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็แตกออกทั้งหมดในที่สุด!

ปราณจิตราที่ทั้งทรงพลัง แหลมคม แข็งแกร่ง และดุดันหมุนเวียนล้อมรอบร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอไม่หยุด พร้อมทั้งแผ่รัศมีอันเฉียบคมออกมาด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะยิ้มจางๆ เขาปล่อยและเก็บปราณจิตราทั่วร่างกายได้ดั่งใจต้องการแล้ว

แค่ความคิดในใจเปลี่ยนแปลงไป ปราณจิตราที่ปล่อยมาภายนอกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตาเดียว

เมื่อปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกได้ ก็นับว่าสำเร็จปรมาจารย์ยุทธ์ ขั้นจิตราชั้นนอกแล้ว

ชายหนุ่มหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง แล้วเริ่มนำปราณจิตราแทรกซึมเข้าไปในโครงกระดูก เพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่งของไขกระดูก

เมื่อฝึกฝนเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมา

เขาเทโอสถเม็ดสีดำจำนวนหนึ่งออกมาจากในขวด เหนือเม็ดโอสถมีไอสีขาวค่อยๆ ลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ราวกับถูกห้อมล้อมไว้ในเมฆหมอก ผิวของโอสถเม็ดสีดำยังมีแสงเงาไหลเวียนอยู่จางๆ ราวกับหยกสีน้ำหมึก

นี่ก็คือลูกกลอนวิญญาณทมิฬอันเป็นบำเหน็จรางวัลที่ทางสำนักมอบให้ ขณะนี้พวกมันอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว

แม้ว่าจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอกสำเร็จแล้ว ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้รีบร้อนจะใช้ยาลูกกลอนเหล่านี้แต่อย่างใด เพียงแต่ทำการสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนพักหนึ่ง ทั้งยังใช้จมูกสูดกลิ่นเบาๆ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอถึงหยิบเข็มทองขึ้นมาแทงเข้าไปในตัวลูกกลอน

โอสถเม็ดนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมาราวกับมีชีวิต ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ยั้งมือ ยังคงแทงเข็มทองต่อกันอีกเก้าหน จนกระทั่งลูกกลอนวิญญาณทมิฬก็สงบนิ่งลง ไอโอสถสีขาวจางๆ ทั้งหมดถึงกลับเข้าไปตามรูเล็กๆ ทั้งเก้ารู ที่เยี่ยนจ้าวเกอแทงเข้าไปเมื่อครู่

คราวนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วกลืนยาลูกกลอนเม็ดนั้นลงไป จากนั้นจึงนั่งลงฝึกลมปราณ เพื่อกลั่นเอาฤทธิ์ของโอสถ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอส่งเสียงตะโกนเรียก “อาหู่!”

อาหู่ก็เคาะประตูอยู่หน้าห้อง “คุณชายขอรับ”

“ของที่ข้าให้เจ้าตามหาก่อนหน้านี้ ไปถึงไหนบ้างแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม

“มีข่าวคราวแล้ว แต่ยังต้องรอยืนยันข้อเท็จจริงก่อนขอรับ” อีกฝ่ายกล่าวตอบ

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ตั้งใจหน่อย ของในครั้งนี้ สำคัญยิ่งกว่าเตาผลึกหินชั้นในเสียอีก”

………………..

[1] คลองหงโกว ชื่อคลองที่ใช้ลำเลียงสิ่งต่างๆ ในสมัยโบราณ ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี