เทียบกับซินตงผิงแล้ว อันที่จริงความคิดมารในใจหยวนเทียนไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด
ทว่าตอนนี้ภัยคุกคามถึงชีวิต ทำให้ความกระหายที่มีต่อชีวิตของเขาบรรลุถึงขีดสุด
ขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ไร้อุปสรรคขวางกั้นชั่วชีวิต กำหนดไว้อยู่แล้วขอเพียงเขาไม่เข้าไปเหยียบประตูสำนักระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็น้อยนักจะมีคนสามารถต่อกรเขาได้
กระนั้นตอนนี้ หยวนเทียนสืบเท้ายังประตูสำนักระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกในชีวิต ที่แห่งนี้ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะกลายเป็นสถานที่ฝังกระดูกของเขา!
ชั่วขณะนี้ หยวนเทียนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามถึงแก่ชีวิตกระจ่างชัด
สถานการณ์บีบบังคับเขาให้ต้องเลือก
กลายเป็นมาร รับความหวังเกิดใหม่อีกหน หรือจะตายอยู่ที่เขากว่างเฉิง!
หยวนเทียนเลือกข้อแรก
คนที่เหมือนเช่นเขายังมีซินตงผิง
ซินตงผิงในขณะนี้สงบนิ่งเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่มีความรู้สึกเหมือนคนห่างจากบ้านกลับถิ่นรูปแบบหนึ่งอยู่เลือนราง ประดังเข้ามาในเวลานี้เงียบๆ
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านพ่อ ท่านอาจารย์ลุงใหญ่จากไปแล้ว”
นัยน์ตาเยี่ยนตี๋สาดแสงเย็นเยียบ มือขวาที่กุมดาบสวรรค์มังกรทะยานไว้พลันกำแน่น
หยวนเทียนกับซินตงผิงได้ยินดังนั้น บนใบหน้าไร้แววยินดี กลับจะยิ่งตื่นตัวเสียด้วยซ้ำ
ซินตงผิงเพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ สั่นศีรษะอย่างเชื่องช้า “ตอนนี้พูดคำเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรแล้ว แต่ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดของข้า ไม่ใช่การดูถูกบิดาเจ้า เยี่ยนตี๋ หากแต่เป็นการที่ข้าไม่ได้จัดการเจ้าเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ต่างหาก”
เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับซินตงผิงด้วยแววตาเยียบเย็น รำพันเรียบเฉยว่า “ในความคิดข้ากลับเป็นถ้าหากสามารถยืนยันได้แต่เนิ่นๆ ว่าเจ้าคือประมุขภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต กระนั้นก็สังหารเจ้าไปนานแล้ว”
ครั้นได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่ม ซินตงผิงก็ถอนใจยาวคราหนึ่ง “พูดไปมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์”
เขาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง “วันนี้เกรงว่าจะไม่ได้แล้ว ข้าเจ็บหนักเกินไป กลายเป็นมารทำได้เพียงฝืนฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มพูนความสามารถขึ้นอีกขั้น”
“ข้าหวังที่จะสามารถรับการหยิบยืมการกลายเป็นมารก้าวนี้ สืบเท้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จมาโดยตลอด แต่ก็ขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเสมอมา หาไม่แล้ว วันนี้หากสามารถก้าวผ่านขั้นบรรลุธรรมสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าจะลองดู ว่ามีโอกาสที่จะชดเชยความผิดพลาดก่อนหน้านี้หรือไม่”
ในมือเยี่ยนจ้าวเกอมีธนูเพิ่มขึ้นมาคันหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีลูกธนูดำสนิทสามดอก ทอแสงสีทองอ่อนๆ อีกด้วย
“ตาแก่ผมหงอก ตายไปอย่างสงบเสียเถิด” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเย็นยะเยือก
ขณะเอ่ยไปพลาง เยี่ยนจ้าวเกอก็ยกธนูอาชาฟ้าในมือขึ้นแล้ว
อาวุธวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้ ระดับพลังฝึกปรือของเขาในขณะนี้ยังไม่อาจกระตุ้นพลังในนั้นได้ทั้งหมด
ทว่าก็เพียงพอแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอนำลูกธนูสีดำสนิทสองดอกเกี่ยวไปบนสายธนูพร้อมกัน จากนั้นน้าวสายธนูเข้ามา ประหนึ่งโอบอุ้มจันทร์เพ็ญเอาไว้
สายธนูจมลึกลงไปในเนื้อนิ้วของเขา ลูกธนูสองดอกชี้ไปทางตำแหน่งที่เล็งไว้ คล้ายกับเป็นพื้นที่ว่างรอบกายของซินตงผิงและหยวนเทียน
บนโลกใบนี้ ทักษะการยิงธนูก็เป็นรูปแบบหนึ่งของวิถีวรยุทธ์เช่นกัน ศาสตร์ของธนูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉกเช่นวิชาหอก วิชากระบี่ และวิชาดาบ
เพียงแต่ศาสตร์นี้ฝึกฝนได้ยากยิ่ง อยากจะมีฝีมืออันแก่กล้า ล้วนยากยิ่งกว่าวิถีวรยุทธ์อื่นๆ อักโข ขณะเดียวกันก็เน้นหนักในพรสวรรค์มากกว่าเช่นกัน
ทักษะธนูของเยี่ยนจ้าวเกอนั้นพอใช้ได้ เพิ่งเริ่มฝึกเมื่อไม่นานมานี้
ทว่าวันนี้ในเวลานี้ เขาอยากจะยิงพลาดก็ยังยาก
มหาค่ายกลนภาโคจร ก่อตัวเป็นพลังพันธนาการอันแกร่งกล้า ยังคงขังซินตงผิงกับหยวนเทียนเอาไว้ที่เดิม
เจตจำนงดาบของเยี่ยนตี๋ยิ่งฟาดลงอย่างโหดเหี้ยมขึ้นเป็นเท่าทวี ทำให้ทั้งสองทำได้เพียงต้านทานอย่างจนตรอก ไม่มีเวลาสนใจมองรอบข้างอีกต่อไปเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นมาร แต่อาการบาดเจ็บก่อนหน้าของพวกเขาก็หนักหนาเกินไป บัดนี้ยิ่งหมดทางต่อต้านบุตรบิดาเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋
ทว่าหลังจากกลายเป็นมาร สีหน้าซินตงผิงกลับจะสงบนิ่งลงมากด้วยซ้ำ มองบุตรบิดาเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ พลางเอื้อนเอ่ยชืดชา “ครานี้ เป็นข้าที่พลาดเอง”
“ด้านหนึ่ง ไม่ได้กำจัดเจ้าเยี่ยนจ้าวเกอไปเสียแต่เนิ่นๆ ด้านหนึ่ง ก็ประเมินบิดาเจ้าเยี่ยนตี๋ต่ำไป”
“วันนี้ตายที่นี่ครั้งหนึ่ง คราหน้า พวกเราค่อยตัดสินแพ้ชนะกันอีกครั้ง”
ซินตงผิงมองดูเยี่ยนจ้าวเกอ “คนเยาว์วัยอย่างเจ้า ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับมารนพยมโลกอย่างมากเหมือนกันนี่?”
“ในกระบวนการที่พวกเจ้าไต่สวนศิษย์น้องหลิว ข้าได้ฟังแล้ว เจ้าตัดสินชี้ขาดระดับพลังฝึกปรือของเขา แม้จะกลายเป็นมาร ก็ไม่อาจกลายร่างเป็นมารแท้ฟื้นชีพได้เช่นกัน”
“ในเมื่อเข้าใจเช่นนี้ กระนั้นเจ้าควรรู้ไว้ว่าพลังฝึกปรือของข้า แม้จะยังไม่เข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมีโอกาส”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี