เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามสวมเสื้อของลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และได้ยินคำที่ฝ่ายตรงข้ามพูด สีหน้าของลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจทันที
ชายเสื้อขาวที่มีหนวดเคราปกคุมทั้งหน้าเดินเข้ามาใกล้ๆ แต่สายตากลับมองไปอีกทางหนึ่ง “คนน่ะ ควรจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน”
สิ่งที่อยู่ฝั่งนั้นคือเวทีการแสดงอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กลายร่างเป็นรุ้งวาดข้ามขอบฟ้าท่ามกลางแดดที่จ้าและฟ้าที่โปร่ง…” ด้านหลังของเวที มีเสียงพากย์ดังขึ้นลงเป็นทำนอง
ในเมืองใกล้ปราการไม่ได้มีเพียงแค่กองกำลังของเขากว่างเฉิงเท่านั้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็มีฐานทัพในพื้นที่นี้ด้วยเช่นกัน และยังมีอิทธิพลในระดับหนึ่งด้วย
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีบัณฑิตหรือนักแสดงละครคอยเล่าเรื่องราวตำนานของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน
คนเหล่านี้ส่วนมากก็เป็นเพียงคนที่หาข้าวปลาเลี้ยงปากท้อง ซึ่งไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าข้างโอนเอนไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนชอบนิทานเรื่องเล่าอะไร พวกเขาก็แสดงอย่างนั้น
สำหรับเรื่องเล่าขานที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็คือผู้นำสำนักรุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งก็เป็นบุคคลที่เป็นตำนานอีกคนหนึ่ง
ตามตำนานของชาวบ้านเล่าว่าชายคนนี้เหินฟ้ายามกลางวันที่สว่างเจิดจ้า ส่วนในโลกของจอมยุทธ์ มีเรื่องราวการเล่าขานแตกต่างมากมาย
มีทั้งที่กล่าวว่าเขาได้เข้าสู้ในระดับที่สูงขึ้น ได้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์แล้ว
ก็มีที่กล่าวว่าเขายังคงเก็บซ่อนตัวและฝึกฝนลับอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
และยังมีกล่าวอีกว่าเขาเข้าฌานบำเพ็ญเพียรจนหมดสิ้นอายุขัยไปแล้วต่างๆ นานา
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบเห็นเขามานานแล้ว ข่าวลือคำพูดจึงมีต่างๆ นับไม่ถ้วน
หลังจากจ่านตงเก๋อล่วงลับไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้คนคนนี้เป็นผู้นำและค่อยๆ ตั้งตัวขึ้น จนสุดท้ายได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่
สายตาของชายชุดขาวมองไปยังบนเวทีฝั่งนั้น ความหมายของคำพูด ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้
ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงต่างรู้สึกหงุดหงิด
“เซียวเซิง เหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นเจ้าหนวดเช่นนี้ล่ะ?” เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาที่รู้สึกประหลาดและขบขัน
เซียวเซิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับกระดิกหูเล็กน้อย ราวกับกำลังฟังอะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็พินิจพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียดถี่ถ้วน
“เสียงเต้นของชีพจรและเลือดที่ไหลเวียนเบาแทบไม่ได้ยิน หนาแน่นแต่ไหลลื่น…เลือดดุจปรอท เจ้าบรรลุระดับปรมาจารย์จิตรานอกแล้ว? และยังทำการชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จในเวลารวดเร็วเช่นนี้?”
“แต่ก็ไม่สำคัญหรอก” เซียวเซิงบอกปฏิเสธ พลางกวาดตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างพินิจพิจารณา “เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าเล่นงานคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าในหุบเหวปราการมังกร คงไม่ได้คิดว่าจะเล่นงานเปล่าๆ ใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “เจ้าจะออกหน้าให้กับพวกเฉาหยวนหลงหรือ? ”
เซียวเซิงขยับเท้าเดินเข้ามาข้างหน้าจนถึงตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไร?”
ในตอนแรกคนของเขากว่างเฉิงดูไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่เมื่อได้ยินชื่อของเซียวเซิงก็รู้ในทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร
หลานชายของท่านผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และถูกขนานนามว่ารุ่งอรุณทั้งสี่เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลง แต่เวลาการฝึกฝนนานกว่า และระดับของวรยุทธ์สูงกว่า
“ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอก…” ซือคงจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิง
เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ที่เป็นคู่ปรับที่รับมือได้ยากในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราในระยะท้าย ตลอดทางที่เซียวเซิงเดินผ่านมา วรยุทธ์ก็อยู่เป็นอันดับต้นๆ ของคนในระดับเดียวกับ ผลงานการรบก็โดดเด่นยิ่งกว่าเฉาหยวนหลง
เมื่อเทียบกับเฉาหยวนหลงที่ฝึกฝนวิชากระบี่ที่ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เซียวเซิงกลับเลือกที่จะฝึกวิชาดั้งเดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตามตำราลำดับขั้นตอน
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงโดดเด่นเหนือบรรดาอัจฉริยะรุ่นใหม่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตเขาเคยชนะคู่ต่อสู้ที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะกลางด้วยระดับปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะต้น จึงทำให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว
ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงแม้จะมีความมั่นใจในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ด้วยระดับวรยุทธ์ของเซียวเซิง ประสบการณ์การต่อสู้ของเขามีมากกว่ามาก จึงยากที่จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นใจ
เสียงของเซียวเซิงทุ้มใหญ่ แต่น้ำเสียงค่อยเป็นค่อยไป “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นงานพวกเฉาหยวนหลงอย่างไร วันนี้ข้าก็จะมาคืนให้แบบนั้น”
“นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว เจ้ายังเล่นงานศิษย์น้องคนอื่นๆ ของข้า วันนี้นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเจ้า ข้าก็จะเลือกคนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี