“แม่นางอิ่น ทั้งหมดต้องขอบคุณเจ้า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงตามหาตำแหน่งของพวกเจ้าศิษย์อาจารย์เจอ”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
“ถูกต้อง เจ้าไม่ทราบว่าข้าเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แต่ว่าคำพูดที่เจ้าพูด คนของเขากว่างเฉิงจะเชื่อหรือไม่? ต่อให้พวกเขาเชื่อ ถึงจะพลาดพลั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าคิดว่าจะไม่ต้องรับผิดชอบหรือ?”
“ข้า…ข้าไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้…”
“ถ้าหากว่าเฟิงอวิ๋นเซิงทำผิดโดยมิได้ตั้งใจเช้นนี้ ไม่แน่ว่าถูกตำหนิไม่กี่คำก็จบ แต่ว่าเจ้าแตกต่าง มีคนที่โดดเด่นเช่นนี้คอยเปรียบเทียบกับเจ้า เจ้าไม่ทำผิดก็ถือว่าผิด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังเป็นความผิดซ้ำซาก”
“ท่าน…ท่านไม่ต้องพูดแล้ว…ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะไม่เปิดเผยสถานะของท่าน…”
“แม่นางอิ่น คนที่เจ้าควรเปิดโปงมิใช่ข้า แต่เป็นศิษย์พี่ของท่านต่างหาก”
“ท่าน…ท่านพูดอะไร?!”
“เฟิงอวิ๋นเซิงเป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ลำบากแอบแฝงอยู่ในเขากว่างเฉิง สุดท้ายครั้งนี้ถูก ฟู่เอินซูอาจารย์ของเจ้ามองออก ฉวยโอกาสที่อาจารย์ของเจ้ายังไม่แน่ใจ นางได้ลงมือก่อน ติดต่อกับผู้อาวุโสเหมิงของสำนักข้าให้ฆ่าปิดปากฟู่เอินซู เจ้าว่าความจริงนี้เป็นอย่างไร?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ท่าน…ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ไม่มั่นใจว่าจะชนะการทดสอบแห่งจนทร ดังนั้นจึงวางแผนนี้ขึ้นมา!”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องพิจารณาก็คือ…ถ้าหากไม่ใช่นางเผยร่องรอย เช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้ว…”
ตั้งแต่กลับมาจากทะเลตะวันออก ในห้วงสมองของอิ่นหลิวหัวปรากฏเสียงเหล่านี้สะท้อนไปมาไม่หยุด
แต่อย่างค่อยเป็นค่อยไป กลับมีความคิดใหม่ผุดออกมา
เหมือนกับตำหนักอัสนีสวรรค์และเขาไร้พรมแดน ถ้าหากมีสตรีแห่งจันทราแค่คนเดียว ไม่ว่านางจะมีผลงานเป็นอย่างไร ตำหนักอัสนีสวรรค์กับเขาไร้พรมแดนได้แต่ต้องฝืนใจยอมรับ เพื่อความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่น จึงใช้ความพยายามสุดความสามารถ
เหนียนเหล่ยจากตำหนักอัสนีสวรรค์ หลิงฮุยแห่งเขาไร้พรมแดน อยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายของการทดสอบแห่งจันทราแทบทุกปี แต่ว่าพวกนางกลับตำมีแหน่งพิเศษในสำนักของตัวเอง
อย่างน้อย จนกระทั่งตอนนี้ ความอดทนของตำหนักอัสนีสวรรค์และเขาไร้พรมแดงยังไม่หมดลง
‘ถ้าหากมีข้าคนเดียว…ถ้าหากมีข้าคนเดียวละก็…’
อย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงอื่นล้วนหายไปหมด เหลือเพียงแต่เสียงนี้เสียงเดียวที่ค่อยๆ เติมเต็มห้วงสมองของอิ่นหลิวหัว
“ศิษยหลานอิ่น โปรดเข้ามา”
เมื่อได้ยินเสียงของฉางเจิ้น ร่างของอิ่นหลิวพลันหัวสั่นไหว ได้สติกลับมา
นางสูดหายใจลึก ทราบว่าเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตมาถึงแล้ว
หลังจากเข้าสู่ตัววิหาร อิ่นหลิวหัวก็คำนับพวกจางคุน ฉางเจิ้น และฉานหงเจียฉี “หงเจียฉีผู้นี้บอกว่าศิษย์หลานเฟิงเป็นสายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสำนักเรามานาน อีกทั้งยังบอกว่าศิษย์น้องฟู่เพราะค้นพบความลับนี้ ดังนั้นศิษย์หลานเฟิงจึงขายร่องรอยของนาง เพื่อให้ยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาฆ่าคนปิดปาก”
“เขาบอกว่าคนที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้น นอกจากเขาแล้ว ยังมีเจ้าด้วย ทั้งยังบอกว่าสามารถทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลาเพื่อพิสูจน์ได้”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ? เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึง?”
สายตาของฉางเจิ้นกดดันอิ่นหลิวหัว เขาเป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งที่ดูแลการลงโทษและกฎเกณฑ์ของสำนัก ทั้งยังเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้าย
สายตาคล้ายกับบดขยี้ร่างกายของอิ่นหลิวหัวได้ ความลับทุกอย่างจึงมิอาจซ้อนเร้น
อิ่นหลิวหัวร่างสั่นเทา เกือบสติหลุดไป
แต่ต่อมานางรู้สึกว่าสายตาของฉางเจิ้นยังคงอยู่ แต่ไม่ได้สั่นสะเทือนขวัญวิญญาณเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
จางคุนกับผู้อาวุโสฉินเชื่อใจฉางเจิ้นมาก จึงไม่ก้าวก่าย ให้ฉางเจิ้นซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งวิหารอาญาควบคุมสถานการณ์
อิ่นหลิวหัวสงบจิตใจ บอกเล่าอย่างอ้ำอึ้ง “ศิษย์ไม่กล้ายืนยัน ตอนนั้นท่านอาจารย์กับศัตรูต่อสู้กัน ศิษย์จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ทั้งยังถูกคลื่นหลงเหลือจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายซัดใส่จนโซเซ ไม่รู้ทิศรู้ทาง”
“ดังนั้นสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจึงเป็นคำพูดที่กระจัดกระจายเท่านั้น”
นางมองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่เฟิงทำดีมาโดยตลอด ดูแลศิษย์เป็นอย่างดี ศิษย์คิดว่าตนน่าจะเข้าใจผิด ดังนั้นไม่กล้ากล่าวเหลวไหล”
ฉางเจิ้นเอ่ย “หงเจียฉีต้องการทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลากลับเจ้า เจ้ายินยอมหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี