เงาร่างของจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยหายไปกลางอากาศ
แต่ว่าความรู้สึกกดดันที่ทำให้ผู้คนต้องกลั้นหายใจ ยังคงดำรงอยู่ในทุกสถานที่ด้านในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ทำให้ทุกคนอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
มีแต่เยี่ยนจ้าวเกอกับเสี่ยวอ้ายที่อยู่บนแท่นบูชาในระยะห่างที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น ที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
ค่ายกลนั้นแสดงความสามารถได้ดีทีเดียว
เยี่ยนจ้าวเกอศึกษาจิตของหลักการที่อยู่ด้านใน เขาสัมผัสได้ว่าค่ายกลกับพิธีกรรมบนแท่บบูชาเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่อาจแยกออกจากกัน
ความรู้สึกนี้คล้ายกับในตอนที่เพิ่งเข้ามาในผนึกของข่ายอาคมแห่งนี้
เมื่อเชื่อมโยงกับคำพูดของเสี่ยวอ้ายเมื่อครู่นี้ที่ว่า มารดาของตนช่วยให้พิธีกรรมสำเร็จเร็วขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าใจ ค่ายกลค่ายนี้จะต้องเป็นความสามารถของเสวี่ยชูฉิงผู้เป็นมารดาแน่นอน
‘ด้วยพลังฝึกปรือในตอนนั้นของท่านแม่ คิดจะรบกวนพิธีกรรมที่จักรพรรดิประกายกาฬเหลือไว้ ไม่ใช่ปัญหาแค่จำนวนความรู้และระดับด้านค่ายกลเท่านั้น’
ความคิดหนึ่งแวบขึ้นในใจของเยี่ยนจ้าวเกอ ‘นางจะต้องคุ้นเคยกับจักรพรรดิประกายกาฬ หรือวิชาของสำนักประกายกาฬถึงขีดสุดจริงๆ’
‘ถึงขั้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ปู่ของนางกับจักรพรรดิประกายกาฬ ไม่อาจใช้คำว่าสนิทสนมมาบรรยายได้’
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ผู้อาวุโสในสำนักของมารดา จะรู้จักพิธีกรรมที่จักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยวางไว้หลังจากสวรรคตเป็นอย่างดี
บางทีตัวอิ่นเทียนเซี่ยอาจจงใจเปิดเผยร่องรอย เพื่อให้สหายผู้นี้มาช่วยตนคุ้มครองพิธีกรรม เพราะต้องการรับประกันความสำเร็จของมันหลังจากที่ตนสวรรคตไปแล้ว
เสวี่ยชูฉิงใช้ประโยชน์จากการชี้แนะของผู้เป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงเข้ามาในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬได้ง่ายถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังช่วยเร่งความเร็วให้กับพิธีกรรมของที่นี่ด้วย
ความเข้าใจที่มารดาของตนมีต่อสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ถึงขั้นเหนือกว่าผู้สืบทอดดั้งเดิมของสำนักประกายกาฬอย่างสำนักแสงสว่างและสำนักความมืดเสียอีก
‘อาจจะเป็นการเตรียมตัวที่เฉพาะเจาะจงของตัวอิ่นเทียนเซี่ยก็ได้ ถึงอย่างไรทุกคนต่างจับตาดูทายาทของสำนักประกายกาฬอย่างสำนักแสงสว่างและสำนักความมืด หากพวกเขามีการเคลื่อนไหว คนอื่นก็จะพบได้ง่ายๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอคิด ‘ดังนั้นจึงได้ใช้วิธีลอบตีเฉินชาง[1]’
ถ้าหากทุกคนไม่รู้ว่าอิ่นเทียนเซี่ยมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ปู่ของเสวี่ยชูฉิง หรืออย่างน้อยก็ไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์ล้ำลึกขนาดนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางคิดถึงว่า คนที่ช่วยอิ่นเทียนเซี่ยคุ้มครองพิธี ไม่ใช่ลูกศิษย์ในสำนักของเขา แต่เป็นคนอื่น
เสี่ยวอ้ายมองเยี่ยนจ้าวเกอ ถอนใจชมเชยพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ความสามารถด้านค่ายกลของท่านสูงส่งยิ่ง!”
“ถึงแม้ว่าตอนที่นายหญิงวางค่ายกลจะยังไม่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เหมือนความสามารถด้านค่ายกลของท่านจะเหนือกว่านายหญิงเสียอีก!”
เยี่ยนจ้าวเกอพูด “ก็ไม่แน่หรอก”
จากรายละเอียดแต่ละอย่างของค่ายกลเบื้องหน้านี้ เขาดูออกว่าความสามารถด้านค่ายกลของท่านแม่ล้ำเลิศเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่มีประสบการณ์และความรู้ล้ำลึกเท่านั้น แค่พรสวรรค์อันบริสุทธิ์ที่มีต่อความเข้าใจในด้านค่ายกลก็โดดเด่นเหนือใครแล้ว
คิดถึงตอนที่เยี่ยนตี๋บิดาของตนเคยบอกว่า เสวี่ยชูฉิงผู้เป็นมารดามีความสามารถในด้านค่ายกลเหนือล้ำกว่าใคร เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้พอได้เห็นด้วยตัวเองจริงๆ ก็มีความรู้สึกเห็นด้วยจากใจ
นอกจากนั้น…
เยี่ยนจ้าวเกอมองเสี่ยวอ้ายที่อยู่ด้านข้าง พยักหน้าอย่างชมเชย “เสี่ยวอ้ายเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านวิชาแห่งค่ายกลล้ำเลิศนัก”
เสี่ยวอ้ายร้องอ้า จากนั้นก็ใช้สองมือประคองใบหน้า รู้สึกยินดี “คุณชายชมข้าเช่นนี้ ข้าดีใจยิ่ง!”
ร่างของนางบิดไปมาเล็กน้อย “นายหญิงๆ วันนี้ข้าข้าโชคดีจัง!”
ขณะมองดรุณีน้อยที่ดีใจจนเหมือนใกล้จะสลบ มุมปากเยี่ยนจ้าวเกอบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ถ้าหากจงใจชมเชยเพื่อประจบสอพลอก็ว่าไปอย่าง เยี่ยนจ้าวเกอคงจะดีดหน้าผากนางเพื่อให้นางสงบสติอารมณ์ลง
แต่ปัญหาก็คือ สตรีนางนี้เหมือนถือเป็นจริงเป็นจัง
นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง
เยี่ยนจ้าวเกอให้ค่ายกลครอบคลุมตนกับเสี่ยวอ้าย แล้วเดินไปบนแท่นบูชาทีละก้าว
ในขณะที่มุ่งหน้าไป เบื้องหน้าเหมือนกับเกิดภาพมากมายขึ้น
โลกที่อยู่ในความมืดแรกเริ่มให้กำเนิดแสงสว่างแรก หลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สรรพสิ่งก็พากันผันแปร ท้องทะเลแห้งเหือดเป็นนา เกิดปรากฏการณ์นับหมื่น
ขณะปีนขึ้นไปบนแท่นบูชา เขาเหมือนกับระหกระเหินอยู่ในกระแสเวลา
สิ่งที่พิเศษเพียงหนึ่งเดียวก็คือ แสงกับความมืดเปลี่ยนแปลงสลับกัน มีเส้นทางไร้รูปร่างสายหนึ่งแยกความมืดสีดำกับแสงสีขาวออกเหมือนกับเส้นแบ่ง
และหลังจากเยี่ยนจ้าวเกอก้าวขึ้นหน้าอย่างต่อเนื่อง เส้นแบ่งเส้นนี้ก็ค่อยๆ หายไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี