ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 780

อู๋ซวงเจี้ยงถึงขั้นไม่ได้เข้าไปในหอเรือนโดยพลการ ต่อให้เป็นเพียงแค่ภาพมายาในสภาพจิตใจของตัวเอง อู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่คิดจะประมาทเช่นนั้น

ชุยตงซานยังไม่เคยลงมืออย่างเต็มกำลัง ที่มากกว่านั้นเป็นเฉินผิงอันกับเจียงซ่างเจินที่ลงมือ ที่แท้ก็แอบวางแผนเรื่องนี้อยู่นั่นเอง

เก็บดวงจิตเมล็ดงามา อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้าไปมอง

ตรงปลายสุดของม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏเส้นเล็กบางสีทองเส้นหนึ่ง

อู๋ซวงเจี้ยงยกกระบี่จำลองไท่ป๋ายในมือขึ้น ใบบัวใต้ฝ่าเท้าพลันโน้มเอียงไปทางหนึ่ง

แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที ผ่าฟ้าดินดวงดาวของอู๋ซวงเจี้ยงจากตรงกลาง ผ่าหนึ่งออกเป็นสอง!

แม้แต่กระบี่จำลองในมือของอู๋ซวงเจี้ยงก็ถูกฟันผ่าไปด้วย

แสงกระบี่เส้นนั้นพุ่งวูบผ่านข้างกายของอู๋ซวงเจี้ยงไป ชุดคลุมอาคมบนร่างส่งเสียงสะบัดดังพึ่บๆ ถึงกับเกิดเสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าเบาๆ ดังมาระลอกแล้วระลอกเล่า

อู๋ซวงเจี้ยงสะบัดข้อมือ กระบี่จำลองไท่ป๋ายในมือกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง

เป็นหนิงเหยาที่ลงมือ

นางวาดกระบี่ฟันกวาดออกมาในแนวขวางจากจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุด จากนั้นค่อยผ่าฟ้าดินเล็กออกในแนวขวาง

กระบี่ที่สองของหนิงเหยา แสงสีทองเส้นหนึ่งอยู่ห่างไปไกลมาก รอกระทั่งมาถึงด้านในฟ้าดินของดวงดาว ก็ได้กลายเป็นธารดวงดาวปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาเส้นหนึ่ง

อู๋ซวงเจี้ยงหดย่อพื้นที่ เขาคาดการณ์ไว้ได้นานแล้ว จึงหลบเลี่ยงแสงกระบี่ที่ฉายประกายเฉียบคมอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด ทว่าชายหญิงที่ด้านหลังสะพายกระบี่ทั้งสองคนกลับถูกกระบี่ระเบิดร่างจนเละ

อู๋ซวงเจี้ยงเปลี่ยนความคิด เก็บเอา ‘หนิงเหยา’ และ ‘เฉินผิงอัน’ มาชั่วคราว ลมปราณที่หลงเหลืออยู่ของหุ่นเชิดข้ารับใช้ถือกระบี่สองคนถูกเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ แล้วจึงบังคับกระบี่เซียนจำลองสี่เล่มนั้นด้วยตัวเอง

ชำเลืองตามองกระบี่จำลองไท่ป๋าย อู๋ซวงเจี้ยงก็ส่ายหน้า ยังคงไม่อาจรวบรวมปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ของเทียนเจินเล่มนั้นมาได้

ในความเป็นจริงก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินได้บอกฮูหยินเจ้าขุนเขาไปแล้วว่า ทางที่ดีที่สุดให้ออกกระบี่น้อยๆ ระวังว่าเจ้าหมอนั่นจะขโมยปณิธานกระบี่ไป

หนิงเหยาตอบกลับเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ไม่ต้องกังวล

ฉวยโอกาสระหว่างที่ฟ้าดินดวงดาวของอู๋ซวงเจี้ยงกำลังจะพังทลาย เจียงซ่างเจินได้ปรากฏตัว ตบไหล่เฉินผิงอัน เอ่ยเสียงหนักว่า “รักษาตัวด้วย”

มีภรรยาแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่มีภรรยาที่เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดชีวิตนี้เจ้าเฉินผิงอันก็อย่าได้คิดดื่มเหล้าเคล้านารีเลย

เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจพูดคุยไปพร้อมกันด้วย “เป็นอย่างไร? อยู่ห่างจากจันทร์ลอยสูงเหนือบ่ออีกแค่ไหน?”

เฉินผิงอันแสยะปาก “ยังเหลืออีกช่วงระยะหนึ่ง”

การสู้ต่อจะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ นอกจากทำเรื่องที่จริงจังไปตามลำดับขั้นตอนพร้อมกับชุยตงซานและเจียงซ่างเจินแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันก็กำลังใช้ฟ้าดินเล็กของอู๋ซวงเจี้ยงมาเป็นหินลับกระบี่ที่คล้ายคลึงกับแท่นสังหารมังกร นำมาใช้ลับคมกระบี่ของจันทร์ในบ่ออย่างละเอียดลออ

เจียงซ่างเจินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดจะสังหารขอบเขตสิบสี่ หากไม่ต้องจ่ายอะไรเลยจะได้อย่างไร”

แสงกระบี่สองเส้นเปล่งวาบมาถึง เจียงซ่างเจินกับเฉินผิงอันหายไปจากจุดเดิมพร้อมกัน

คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะสังเกตเห็นว่าข้างกายตนมียันต์ที่วาดเป็นขวานหยกแผ่นหนึ่งติดตามมาด้วย กระบี่จำลองสองเล่มอย่างไท่ป๋ายและว่านฝ่าประหนึ่งเงาตามตัว น่าจะจำแลงมาจากขวานยักษ์ของคนที่ฟันต้นกุ้ยก่อนหน้านี้ ยันต์แผ่นนี้มีพลังพิฆาตธรรมดา แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเป็นดั่งวิญญาณตามติดไม่จากไปไหน เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับเจียงซ่างเจินว่า “เจ้าทำธุระของเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะไปพบเจอกระบี่เซียนสองเล่มนี้เอง”

โอกาสหาได้ยาก ถือโอกาสขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธไปพร้อมกันด้วยเลย

หาข้อชดเชยมาได้นิดหนึ่งก็คือนิดหนึ่ง

ต่อให้คนทั้งสามร่วมกันวางแผนจัดวางสถานการณ์ ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอันที่จริงก็เคยชั่งน้ำหนักความหนักเบาของผลลัพธ์ไว้ก่อนแล้ว

ราคาที่จำเป็นต้องจ่ายอาจเป็นเฉินผิงอันต้องสูญเสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มใดเล่มหนึ่งไป ไม่นกในกรงก็อาจเป็นจันทร์ในบ่อ

อาจเป็นใบหลิวของเจียงซ่างเจินที่ระดับขั้นของกระบี่บินถดถอย อาจเป็นชุยตงซานที่เสียเนื้อหนังมังสาคราบร่างขอบเขตเซียนเหรินไป

หรืออาจจะมากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตปลายทางผู้ฝึกยุทธของเฉินผิงอันอาจถดถอย

หรืออาจเป็นบางคนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่านั้นไปอีก

บนภูเขาลั่วพั่ว สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันได้ตั้งกฎข้อหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าใครที่ถูกอีกสองคนเหลือช่วย ถ้าเช่นนั้นคนผู้นี้จะต้องมีการตระหนักรู้ ยกตัวอย่างเช่นทั้งสามคนนี้ร่วมมือกันก็ยังไม่อาจแก้ไขหมื่นหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนผู้นี้มาแลกชีวิตกับศัตรูใหญ่แห่งความเป็นตายอย่างเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ มารับประกันว่าตบะบนมหามรรคาของอีกสองคนที่เหลือจะไม่ถึงขั้นขาดสะบั้นไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นชุยตงซานและเจียงซ่างเจินต่างก็ไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้

อู๋ซวงเจี้ยงเอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งใช้สองนิ้วทำท่าคล้ายดีดสายพิณ ท่ามกลางฟ้าดินจึงมีเสียงที่ไร้สายพิณดังขึ้นมา

ด้านหลังมีกายธรรมคนฟ้าตนหนึ่งปรากฏขึ้นมาประหนึ่งจิตหยินออกจากร่างเดินทางไกล ในมือถือกระบี่จำลองสองเล่มอย่างเต้าจ้างและเทียนเจิน เงื้อกระบี่ฟาดไปหนึ่งที มอบของขวัญกลับคืนให้กับหนิงเหยา

เฉินผิงอันที่เพิ่งจะหลบแสงกระบี่สองเส้นของไท่ป๋ายและว่านฝ่ามาได้กลับถูกอสนีสวรรค์เส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างไม่มีลางบอกกล่าว นาทีถัดมา สองมือของเฉินผิงอันกำปลายกระบี่ของกระบี่จำลองสองเล่มเอาไว้แน่น เรือนกายไถลกรูดออกไปข้างนอกร้อยพันจั้ง แสงกระบี่เปล่งประกายเจิดจ้า สองมือฉีกเละเลือดอาบ ปราณกระบี่กระเพื่อมสะเทือน ใบหน้าทั้งดวงถูกกรีดจนเกิดเป็นรอยกระบี่เล็กละเอียดจนจำต้องหรี่ตาลง ไม่กล้ามองแสงกระบี่พวกนั้นตรงๆ ร่างที่ถอยกรูดของเฉินผิงอันยังคงไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย ปลายกระบี่ค่อยๆ แทงทะลุออกมาจากฝ่ามือ

อู๋ซวงเจี้ยงขยับพิณโบราณไร้สายและยิ่งไร้รูปลักษณ์นั่นอีกครั้ง “เจ้าหนูช่างอำพรางตัวเก่งจริงๆ มีเรือนกายของผู้ฝึกยุทธที่เป็นเช่นนี้แล้วยังจะต้องโอ้อวดกายธรรมขอบเขตหยกดิบอะไรอีกเล่า”

ด้านหนึ่งกำปลายกระบี่ของกระบี่จำลองสองเล่มไว้แน่น อีกด้านหนึ่งได้แต่ปล่อยให้สายฟ้าสวรรค์ที่เกิดจากเสียงพิณไร้สายชักนำผ่าลงบนร่าง

อู๋ซวงเจี้ยงงอสองนิ้วดึงสายพิณสายหนึ่งขึ้นแล้วปล่อยนิ้วมือออกเบาๆ เฉินผิงอันก็คล้ายถูกกระบองฟาดหน้าท้อง ร่างทั้งร่างงอลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ สองมือจึงไถลไปข้างหน้า ปลายกระบี่ของกระบี่จำลองสองเล่มขยับมาใกล้อยู่ตรงหน้าดวงตา

ถึงอย่างไรกายธรรมขอบเขตสิบสี่ที่ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งก็ไม่ได้ถือกระบี่เซียนของจริง เมื่อต้องถามกระบี่กับหนิงเหยาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานจึงตกเป็นรอง

อู๋ซวงเจี้ยงคลี่ยิ้ม “บุปผาผลิบาน”

กายธรรมคนฟ้าที่อยู่ด้านหลังพลันจำแลงไปเป็นร้อยพันแบบ ไปลอยตัวอยู่ทั่วทุกจุด ต่างก็ถือกระบี่คู่ กลายเป็นการถามกระบี่ที่ปราณกระบี่เหมือนน้ำตกไหลซัดกรูเข้าหาหนิงเหยาที่มีหนึ่งคนหนึ่งกระบี่

มือหนึ่งของอู๋ซวงเจี้ยงทำมุทรา อันที่จริงคอยคิดคำนวณอยู่ในใจไม่หยุด

ทันใดนั้นอู๋ซวงเจี้ยงถึงกับไม่ทันระวังกระชากสายพิณเส้นหนึ่งขาด อู๋ซวงเจี้ยงยกมือขึ้น นิ้วมือมีเลือดสดซึมออกมาหนึ่งหยด

อู๋ซวงเจี้ยงสีหน้าเคร่งเครียด เพียงแต่ว่าแรงสะเทือนยิ่งใหญ่ของเส้นเอ็นหัวใจ อู๋ซวงเจี้ยงกลับใช้วิชาการอนุมานจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยให้ตามหา

เด็กหนุ่มชุดขาวที่คล้ายนั่งดูดายอยู่เฉยๆ กำลังนั่งยองอยู่ในหอเรือนแห่งหนึ่ง ไม่ได้ประมือกับอู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้นอย่างแท้จริง ทว่าสภาพกลับอนาถกว่าเฉินผิงอันและเจียงซ่างเจินมากนัก เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สบถด่าโฉงเฉงอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าของเขามีคนกระเบื้อง ‘อู๋ซวงเจี้ยง’ ยืนเหม่อลอยอยู่ รอบกายของคนผู้นี้ ชุยตงซานได้ตั้งใจสร้างค่ายกลที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมจนดีเยี่ยมไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วไว้ให้มัน อะไรที่บอกว่าศาสตร์แห่งการตรวจสอบมังกร เปิดสามภูเขาตั้งทิศทาง ไปมากลับสู่น้ำ อะไรที่บอกว่าฟ้าดาวอาณาเขต ทวนกระแสภูเขาสี่สิบแปดสถานการณ์ วิชาหกบารมีของลัทธิพุทธ พิธีบวงสรวงของลัทธิเต๋า ก่อเกิดห้าธาตุดีร้ายสองร้อยสี่สิบสี่สถานการณ์อะไรนั่น…ล้วนเอามาใช้กับเจ้าตำหนักใหญ่อู๋ เทพเซียนผู้อาวุโสอู๋ท่านนี้หมดแล้ว

มีแค่ค่ายกลซานไฉฟ้าดินคนที่มีหนึ่งภาพดวงดาว หนึ่งค่ายกลค้นภูเขาและหนึ่งอู๋ซวงเจี้ยงบุตรจักรพรรดิในหอเรือนเท่านั้นหรือ?

ล้อเล่นอะไรกัน เจ้าอู๋ซวงเจี้ยงดูแคลนขอบเขตสิบสี่ของตัวเองไปหน่อยแล้วกระมัง แล้วก็ดูแคลนหัวสมองของนายท่านใหญ่ชุยกับอาจารย์ของข้า รวมไปถึงโจวอันดับหนึ่งเกินไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินอยู่นอกนกในกรงและดินแดนร่มเงาหลิวก็ยังคงต้องโปรยสมบัติอาคมเหมือนสายฝน วัตถุประสงค์คืออะไร ก็คือให้บนค่ายกลซานไฉทับซ้อนด้วยค่ายกลห้าธาตุ และยิ่งต้องทับซ้อนค่ายกลเจ็ดดวงดาวเข้าไปบนค่ายกลห้าธาตุด้วย

เมื่อเทียบกับค่ายกลซานไฉที่สังเกตเห็นได้ค่อนข้างง่าย เป็นทั้งเวทอำพรางตาแล้วก็ไม่ใช่เวทอำพรางตาแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี