นอกจากจะงุนงงถึงความเป็นมาของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ในอีกด้านหนึ่งยังมีเรื่องที่ทำให้จอมยุทธ์เขาอัศจรรย์รู้สึกตื่นตระหนกด้วย
แม้ว่าจะไม่ได้ตกลงกันอย่างชัดเจน แต่ก่อนหน้านี้ฟู่ถิงกล่าวไว้แล้ว ว่าแลกเปลี่ยนหนึ่งกระบวนท่า
เมื่อครู่แม้ว่าจะไม่ได้เสียท่า ทว่าหลังจากฟู่ถิงใช้ฝ่ามือหยินหยางขั้วกำเนิดเสร็จแล้ว นางก็กระตุ้นร่างไร้ประมาณสสารกำเนิดเพื่อป้องกัน เท่ากับบวกเพิ่มอีกครึ่งกระบวนท่า
ถ้าหากจะพูดให้ถูกต้อง นางใช้ไปหนึ่งกระบวนท่าครึ่ง แลกเปลี่ยนกับหนึ่งฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอ
หากใช้หนึ่งกระบวนท่ากำหนดผลแพ้ชนะ ผู้ชนะก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ!
ทุกคนต่างงงงันเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นสองคนเท่านั้น จอมยุทธ์เขาอัศจรรย์ที่อยู่รอบๆ ต่างมีอายุมากกว่าฟู่ถิง หลายคนถึงขั้นที่ไม่ได้อาวุโสกว่าเพียงเล็กน้อย
พวกเขามองดูฟู่ถิงเติบโต มองดูนางเอาชนะคู่ต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนในชั่วชีวิตที่ผ่านมา
คนที่เอาชนะฟู่ถิงได้ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่สำหรับคนที่มีระดับพลังหรือในอายุเท่ากัน ฟู่ถิงไม่เคยปราชัย ไม่เคยลิ้มลองรสชาติของความพ่ายแพ้
มีคนหลายคนที่อายุมากกว่านาง มีระดับสูงกว่านาง แต่ก็ล้วนแพ้นางครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่เป็นครั้งแรกที่คนในเขาอัศจรรย์เห็นฟู่ถิงเสียท่าคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน
ระดับพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายต่ำกว่าฟู่ถิงขั้นหนึ่ง มิหนำซ้ำอายุยังน้อยกว่าด้วย!
สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมขึ้นมา พากันมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างพร้อมเพรียง
หลังจากฟู่ถิงเงียบงันอยู่สักพัก นางก็กล่าวอย่างเบิกบานว่า “กระบวนท่าเมื่อครู่ ข้าเองเป็นฝ่ายแพ้ ท่านมีทักษะสูงกว่าขั้นหนึ่ง”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางฟู่เกรงใจไปแล้ว”
ฟู่ถิงทางหนึ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ ทางงหนึ่งใคร่ครวญ
ชายหนุ่มไม่รอนางเอ่ยปาก เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าไม่ใช่ผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ แต่ในตอนนี้บรรพบุรุษของสำนักข้าก่อตั้งสำนัก พวกเขาสร้างสำนักขึ้นจากรากฐานที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ ซึ่งส่งผลดีต่อวิชาสายเอกพิสุทธิ์”
“หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ ก็ดูจะไร้ยางอายจนเกินไป ทว่าตอนที่สำนักข้าก่อตั้งขึ้น ก็ได้มรดกของบรรพบุรุษสายเอกพิสุทธิ์ช่วยไว้ไม่น้อย”
“นอกจากนี้แล้ว ข้าได้ฝึกฝนวรยุทธ์วิชาสายเอกพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งเพราะวาสนา สิ่งที่ร่ำเรียนจึงผสมปนเป ทำตัวน่าขายหน้าเสียแล้ว”
วรยุทธ์คัมภีร์ดั้งเดิมที่เขากว่างเฉิงสืบทอดมาหลายปี มีชื่อว่าวิชาเอกพิสุทธิ์
แน่นอนว่าหากพูดชื่อของวรยุทธ์นี้ในวันนี้ ก็ดูจะน่าอายไปบ้าง ด้วยความหน้าหนาของเยี่ยนจ้าวเกอ หากพูดกับคนที่ไร้ความเกี่ยวข้อง อาจจะพอทำเนียนๆ ได้หลายประโยค
ทว่าต่อหน้าฟู่ถิงซึ่งเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ดั้งเดิมแล้ว ย่อมไม่อาจพูดออกจากปากได้
ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องทั่วไปนัก ถึงอย่างไรเฒ่าเบิกฟ้าชิวหยวน บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเขากว่างเฉิง และสร้างวรยุทธ์อย่างวิชาเอกพิสุทธิ์ขึ้นก็ไม่ได้รู้ว่ามีโลกซ้อนโลกอยู่ด้วย
วิสัยทัศน์ของท่านผู้เฒ่าจำกัดอยู่แค่อาณาเขตของโลกแปดพิภพเท่านั้น
จะบอกว่านั่งอยู่บนบ่อคอยมองฟ้าก็ไม่ได้ เพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตอนนั้นทำให้ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่
ถ้าไม่มีรากฐานที่พวกชิวหยวนได้สร้างไว้ จางเชากับเยี่ยนตี๋ก็ไม่อาจก้าวหน้า จนกระทั่งสุดท้ายเดินบนเส้นทางที่เชื่อมสู่ฟากฟ้า โดดออกจากบ่อ เห็นโลกที่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้
อีกทั้งในตอนนั้นชิวหยวนยังได้รับประโยชน์จากมรดกของคนรุ่นก่อนจริงๆ จึงมีร่องรอยของวิชาสายเอกพิสุทธิ์อยู่ด้วย
หากจะพูดว่าเขากว่างเฉิงเป็นผู้สืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ในโลกแปดพิภพ ก็ถือว่าไม่ผิด
ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ ในมือของเขาไม่มีวรยุทธ์วิชาสายเอกพิสุทธิ์ที่มีรายละเอียดครบถ้วนอย่างแท้จริง ที่รวมสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งสำเร็จได้ เป็นเพราะได้ประโยชน์จากวิชาวรยุทธ์ของเขากว่างเฉิง
สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือ ด้านหลังของหงส์เพลิงสีทองตัวนี้เหมือนจะมีห้าจริยะอยู่ด้วย แสดงสภาวะอันน่าหวาดหวั่น ราวกับจะแบ่งแยกฟ้าดิน แผดเผาทุกอย่างให้พินาศอยู่หลายส่วน
“นั่นไม่ใช่วรยุทธ์ที่นางฝึกฝน แต่เป็นผลจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งบนร่าง” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “น่าจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางชิ้นหนึ่ง มีพลังป้องกันน่าทึ่งยิ่ง พูดถึงแค่พลังป้องกันเพียงอย่างเดียว ก็เหนือกว่าเกราะทองบรรพตกับเสื้อคลุมยันต์เซียนแล้ว”
ตอนนี้ฟู่ถิงยังไม่ใช่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง จึงไม่อาจกระตุ้นเสื้อขนหงส์เพลิงได้ทั้งหมด
ถ้าหากนางเลื่อนเป็นขั้นเทวะสำแดง และฝึกฝนร่างไร้ประมาณสสารกำเนิดและร่างกาลอวกาศจุดกำเนิดสำเร็จพร้อมกัน เมื่อกระตุ้นเสื้อขนหงส์เพลิงด้วยพลังทั้งหมดอีกครั้ง ไปพร้อมกับสองกำเนิดรวมเป็นหนึ่ง ห้าจริยะอยู่ครบครัน แค่เพียงป้องกันไม่จู่โจม พลังป้องกันจะอยู่ในขั้นน่าตระหนกยิ่ง
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้นส่วนใหญ่ ล้วนไม่อาจทำลายการป้องกันของนางได้
เยี่ยนจ้าวเกอมีตราประทับตะวัน แต่ถ้าเขาในปัจจุบันกระตุ้นของวิเศษชิ้นนี้ จะมีอานุภาพแตกต่างกับการกระตุ้นมันหลังจากเขาเลื่อนเป็นขั้นเทวะสำแดงโดยสิ้นเชิง
“มิน่าเล่า แม้รู้ว่าพวกเรามีตราประทับตะวันและมงกุฎจันทราอยู่ในมือ นางก็ยังมั่นใจถึงขนาดนั้น” อาหู่เกาศีรษะของตัวเอง “จักรพรรดิแพรยอดเยี่ยมยิ่งนัก ประมุขทักษิณใช้ความพยายามมากมายยังรวมจิตจริงแท้ของห้าจริยะไม่ได้ แต่เขากลับรวมได้ครบแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “ยังไม่ครบ เพียงแค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้สามารถสร้างภาพที่มีห้าจริยะอยู่ด้วยกันได้เท่านั้น น่าจะเป็นเพราะในตอนที่หลอมสิ่งนี้ขึ้นมา ได้ใส่เลือดบริสุทธิ์ของหงส์เพลิงเข้าไป จิตจริงแท้จึงรวมเป็นหนึ่งกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้น เป็นผลให้กระตุ้นได้ แต่คิดจะทำความเข้าใจและจัดระเบียบ กลับเป็นไปไม่ได้”
“นี่โชคดีที่ห้ากำเนิดกับห้าจริยะเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิแพรก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ ถ้ามอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นนี้ให้แก่ประมุขทักษิณ ให้เขาศึกษาแยกส่วน อย่างมากก็มีแต่หนึ่งเกล็ดครึ่งกรงเล็บ[1] เหมือนเอาน้ำแก้วหนึ่งไปดับรถติดไฟเท่านั้น”
ชายหนุ่มว่า “เรื่องนี้ประมุขทักษิณเองก็ทราบดี ไม่เช่นนั้นคงวางแผนช่วงชิงตั้งแต่ต้นแล้ว”
ขณะที่พูด ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอก็สว่างวาบขึ้น
ไกลออกไป หอคอยวิเศษที่สูงขึ้นอีกชั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว
………………..
[1] หนึ่งเกล็ดครึ่งกรงเล็บ หมายถึง ทุกสิ่งกระจัดกระจาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี