เยี่ยนจ้าวเกอมองคนจากเขาสามขาเหล่านั้น จากนั้นก็หมุนกาย กลับไปถึงด้านหน้าประตูของอารามเอกนิกายอีกครั้ง
“คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังอาศัยร่มเงา ไม่ทราบเป็นที่อยู่ของผู้อาวุโสคนไหน เยี่ยนจ้าวเกอขอล่วงเกินแล้ว”
ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปในอาราม ก่อนจะเห็นต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง แม้มันจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดูเก่าแก่ยิ่ง กิ่งใบเหลืออยู่บางตา
ถึงะยังมีความเขียวขจีอยู่เล็กน้อย แต่เกรงว่าลำต้นจะกลวงมานานแล้ว
“ต้นหม่อนบรรพบุรุษ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
นี่เป็นต้นไม้วิญญาณชนิดพิเศษ ใบมีความหอมจรุง จอมยุทธ์เมื่อนั่งฝึกฝนใต้ต้นไม้ชนิดนี้จะได้รับการหล่อเลี้ยงจิตใจและลมปราณ
เยี่ยนจ้าวเกอเคยได้ยินมู่จวินบอกว่า บนโลกซ้อนโลกในปัจจุบันมีการปลูกต้นไม้ชนิดนี้อย่างแพร่หลาย
ทว่าตนหม่อนบรรพบุรุษตรงหน้านี้ เยี่ยนจ้าวเกอพอจะแยกแยะออกคร่าวๆ ว่าน่าจะมีอายุมากกว่าหมื่นปีแล้ว
การไหลของเวลาในนิวาสสถานแห่งนี้ ถือว่าช้าอยู่มากเมื่อเทียบกับโลกซ้อนโลก
เมื่อคำนวณเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าต้นหม่อนบรรพบุรุษต้นนี้จะอยู่มาตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
เช่นนั้นอารามเอกนิกายแห่งนี้ สมควรอยู่มาก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แล้ว
เพียงไม่ทราบว่าผู้เป็นเจ้าของเสียชีวิตไปเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น
เยี่ยนจ้าวเกอ อาหู่ และพ่านพ่านเข้าไปในตำหนักหลักของอาราม กลับไม่เห็นศาลเจ้าและรูปปั้นของบรมครูสามพิสุทธิ์ มีแค่ความว่างเปล่า
หลังจากพวกเขาเข้าไป ตำหนักใหญ่ตรงหน้าก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลง
ด้านในตำหนักพลันมีทรายสีเหลืองกระจายไปทั่วบริเวณ บดบังฟ้าดิน
ที่แห่งนี้ถึงกับกลายเป็นโลกใบหนึ่ง แสดงถึงทิวทัศน์ของทุกสรรพสิ่ง
เจ้าของคนเก่าหายตัวไปนานแล้ว อีกทั้งยังผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังคงสร้างภาพอันน่าอัศจรรย์มากมายขึ้นมาได้ ทำให้คนรู้สึกชื่นชมโดยแท้
ส่วนที่น่ากลัวของพายุทรายที่เหลือไม่ด้อยกว่าปราณมารทมิฬ ที่อยู่ในทะเลรกร้างเมื่อก่อนหน้าเลย
กรวดหินมากมายนั้นพร่างพราวดุจหินผลึก
แต่ว่าแค่เพียงเม็ดเดียว ก็สามารถเจาะทะลุกายเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้
พายุทรายสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นรูพรุน
ส่วนที่น่าสะพรึงของมัน ด้วยพลังของเยี่ยนจ้าวเกอ ถ้าหากไม่เพิ่มการป้องกัน เพียงใช้ร่างกายฝืนรับเท่านั้น ก็ต้องประสบกับผลร้าย
“คุณชาย เกรงว่าเจ้าของคนเดิมของที่นี่จะมีระดับพลังฝึกปรือในตอนที่ยังมีชีวิตสูงส่งถึงขีดสุด แต่ไม่ทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไร” อาหู่แยกเขี้ยวยิงฟัน
เยี่ยนจ้าวเกอนำหีบกลืนฟ้ากลืนดินออกมา เขาตบฝ่ามือใส่หีบกระบี่ ครั้นปากหีบเปิดออก กระบี่สำริดก็เปล่งแสงสีดำลอยขึ้นมาจากด้านใน
กระบี่ปีศาจเทาเที่ยเข้ามาอยู่ในมือ เยี่ยนจ้าวเกอใช้มุทรากระบี่ แสงสีดำที่น่ากลัวพลันกลายเป็นหลุมดำ กลืนกินทรายเหลืองตรงหน้า
ทรายเหลืองมาจากทั่วทุกสารทิศ แทรกด้วยลมกรรโชก บดขยี้มิติ ป้องกันแรงดึงดูดของหลุมดำ
แม้ว่าจะมีพายุทรายส่วนหนึ่งถูกหลุมดำกลืนกิน แต่ก็มีมากมายที่ข้ามการขวางกั้นของประกายกระบี่สีดำ โจมตีใส่พวกเยี่ยนจ้าวเกอ
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเไม่แปรเปลี่ยน บนศีรษะมีแสงสีทองเจิดจ้าลอยขึ้นอย่างแช่มช้า
ตราประทับตะวันปรากฏแล้วลอยสูง แสงสีทองหลายสายพุ่งโถมลง กั้นขวางพายุทรายที่เหลืออยู่
เยี่ยนจ้าวเกอสะบัดกระบี่ปีศาจเทาเที่ยในมือ ประกายกระบี่สีดำที่น่ากลัวเปลี่ยนจากป้องกันเป็นโจมตี
เจตจำนงของกระบี่สังหารเซียนที่บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ถูกหลอมเข้าไปด้านในหลังจากการเปลี่ยนแปลง เพิ่มความน่าสะพรึงให้แก่ความคมกล้าของกระบี่ปีศาจเทาเที่ย ทำลายพายุทราย เปิดออกเป็นเส้นทาง
เขาก้าวเท้าไปด้านหน้าต่อ พร้อมกับเอ่ยว่า “ถ้าหากข้าคาดไว้ไม่ผิด เจ้าของคนก่อนของอารามแห่งนี้ อย่างน้อยน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ได้เปิดประตูเซียนผู้หนึ่ง ระดับพลังยังไม่อาจบอกได้”
ถ้าหากไม่ใช่ ผนึกคุ้มกันของที่นี่ก็ไม่น่าจะมีผลรุนแรงถึงขนาดนี้ เพราะผ่านการชำระล้างโดยกาลเวลามาหลายขวบปีแล้ว
อาหู่พลันตาเป็นประกาย “คุณชาย เช่นนั้นที่นี่จะมีอาวุธเซียนเหมือนสุสานจักรพรรดิประกายกาฬหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี