อาหู่กับเยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่บนหลังพ่นพ่าน ต่างก้มหน้ามองดูเซี่ยกวงที่จากไป
“จากไปเช่นนี้หรือ อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างชัดเจน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแท้ๆ พาให้อากรบาดเจ็บหนักหนาขึ้นกว่าเดิมอีก”
อาหู่แยกเขี้ยว “เขาไม่ใช่ต้องการแก้แค้นหรอกหรือ เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว การรักษาหลักการสำคัญกว่าการแก้แค้นให้ครอบครัวหรือขอรับ”
“ไม่แน่นัก” เยี่ยนจ้าวเกอกอดอก “เขายังไม่ถึงเวลาที่สิ้นหวังที่สุด แม้ว่าใกล้ๆ นี้นอกจากหอธารกระจ่างแล้ว จะไม่มีที่ไหนเชี่ยวชาญการหลอมโอสถอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความหวังอื่นโดยสิ้นเชิง”
“คนหากไม่ถึงเวลาสิ้นหวังอย่างแท้จริง ความเชื่อส่วนใหญ่ไม่มีทางถูกสั่นคลอน นี่อธิบายได้ว่าเขามีจิตใจแน่วแน่ และอธิบายได้ว่าเขายังคงมีความหวังอยู่”
เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเป็นปกติ “หากถึงคราวจำเป็นจริงๆ ค่อยทำลายขีดจำกัดล่างก่อนหน้าของตัวเอง บางครั้งแม้นจะดูง่ายดาย แต่ขีดจำกัดล่างมีแต่ตอนแรกเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุด หลังจากทำลายได้ครั้งหนึ่ง ก็จะทำลายได้อีกเรื่อยๆ”
อาหู่เกาศีรษะ ถามว่า “เช่นนั้นคุณชาย ต่อจากนี้พวกเราจะทำอะไรดี สังเกตต่อไปหรือ”
“ไม่จำเป็นแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ “ที่ข้าสังเกตเขา เพราะอยากจะทำความเข้าใจเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”
มนุษย์เวลาพบเจอความอดอยากและสงครามจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก เมื่อถึงคราวสิ้นหวัง การขายบุตรธิดา แลกเปลี่ยนลูกในไส้เป็นอาหาร กินคนด้วยกันเอง ก็ใช่ว่าไม่มี
ในสภาพที่สิ้นความหวังถึงขีดสุด สำหรับคนทั่วไปแล้วถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่จนปัญญา
แต่ว่าถ้าหากกดดันคนจนไปอยู่ในสภาพสิ้นหวังที่ไม่อาจถอยได้อีก ก็ต้องดูความแน่วแน่ จริยธรรม และความเชื่อของเขาเอง การทดสอบที่โหดหินเช่นนี้ เดิมทีเป็นการทารุณอย่างหนึ่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ยังคงมีจิตใจแน่วแน่ ยอมตายไม่ยอมรับความอัปยศ มีคุณค่าพอให้นับถือ แต่ว่าคนที่จงใจสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับมีจิตเจตนาช่วงชิงชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอไม่นำพาต่อการเอาชีวิตของเขาอื่น แต่เขาไม่ได้มีต้องการสังหารเซี่ยกวง
อาหู่ยิ้มซื่อ “เรื่องอื่นข้ามองไม่ออก แต่ข้ามองออกอยู่เรื่องหนึ่งคือ อย่าพูดเรื่องที่เขาตาบอด ไม่อย่างนั้นผู้มีพระคุณก็อาจกลายเป็นศัตรูได้”
เซี่ยกวงในตอนนี้เดิมทีเป็นคนใจร้อน อะไรสะกิดนิดหน่อยก็โมโหทันที
คนอื่นหากเยาะเย้ยเขาที่ตาบอด เขาจะระเบิดอารมณ์ทันที
เมื่อครู่เป็นผู้คุมหอธารกระจ่างเอ่ยปากขอโทษก่อน ไม่อย่างนั้นดาบของเซี่ยกวงคงจะไม่มีการปราณี
ต่อให้ไม่เล่นงานคนอื่น แต่ก็ไม่ต้องการโอสถประทีปวิสุทธิ์ เซี่ยกวงจะสังหารจอมยุทธ์หอธารกระจ่างที่เยาะเย้ยเขาว่ามีตาเดียว จึงค่อยจากไป
ตอนนี้แม้จะผละจากหอธารกระจ่าง แต่เซี่ยกวงก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง เหมือนกับสิงโตที่อารมณ์ไม่ดีตัวหนึ่ง
เขายืนอยู่ในป่าอันหนาทึบระหว่างเขายาวเหยียด มองฟ้าดินที่กว้างใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป ในที่สุดความโมโหก็ค่อยทุเลาลง
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เซี่ยกวงก็อดยิ้มอย่างขื่นขมไม่ได้ ‘สุดท้ายก็ไม่ได้โอสถมา ต่อจากนี้ควรทำอย่างไรดี’
เขายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากอีกครั้ง รู้สึกคับข้องใจ ‘ตอนนี้เราแม้แต่เรื่องของตัวเองหากพลาดไปคงไม่รอดถึงพรุ่งนี้เช้า จะไปตามหาพี่ใหญ่กับพี่หญิงใหญ่ได้อย่างไร จะสะสางความแค้นให้ทุกคนได้อย่างไร’
สามขั้นตอนที่กำหนดไว้คร่าวๆ แค่ขั้นตอนแรกก็ล้มเหลวแล้ว
เซี่ยกวงขมขื่น หันไปมองทิศทางของหอธารกระจ่างโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็ส่ายหน้า ออกเดินทางอีกครั้ง
เขาคิดจะเดินทางอีกสักระยะ จากนั้นค่อยหาคนถามไถ่ ดูว่าใกล้ๆ ยังมีโอสถอะไรที่รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้หรือไม่
หลังจากเดินไปได้สักพักใหญ่ เซี่ยกวงพลันได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากด้านบน
เขาเงยหน้าไปมอง ก่อนจะเบิกตาโพลงทันที
ผู้อาวุโสเขาสามขาที่เมื่อครู่หนีเขาไป ถึงกับปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า
และสิ่งที่ทำให้เซี่ยกวงสั่นสะท้านก็คือ ประกายกระบี่สายหนึ่งวูบผ่าน ศีรษะของผู้อาวุโสเขาสามขาผู้นั้นลอยขึ้นฟ้าทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี