เพราะถูกค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าเคี่ยวกรำ พวกชิงซู่จื่อสามคนจึงเริ่มเกิดอาการวิงเวียนแล้ว
พวกเขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ระดับพลังฝึกปรือของตนกำลังลดลงไปอีกขั้น!
ทุกคนล้วนอาศัยแรงใจ ทว่ากลับใกล้จะถึงขีดจำกัด
ในตอนนั้นเอง ลมโรคาและหมอกดำที่ก่อนหน้านี้สร้างความหงุดหงิดให้แก่ผู้คนก็พลันจางลง
ทุกคนรู้สึกลิงโลด รีบพุ่งไปด้านหน้าต่อ สุดท้ายผ่านหมอกลวงหนาหนักตรงหน้าได้ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งเดียว
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ ก็คือด้านบนผิวแม่น้ำสีเหลืองเข้ม นั่งไว้ด้วยชายหนุ่มอาภรณ์สีขาว สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบขอบดำ
เป็นเยี่ยนจ้าวเกอนั่นเอง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่ไม่ลนลาน กลับมีสีหน้าสนอกสนใจ ร่างลอยขึ้นจมลงตามการกระเพื่อมของแม่น้ำ ดูท่าจะพออกพอใจยิ่ง
สายตาของเขาหยุดที่ร่างของชิงซู่จื่อ พิจารณาแขนเสื้อของอีกฝ่าย จากนั้นก็มองรูปร่างหน้าตา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์เอกของจักรพรรดิเอกภพ นักพรตอาวุโสชิงซู่จื่อกระมัง ข้าเห็นความสามารถของท่านแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการสืบทอดจริงแท้ของจักรพรรดิเอกภพกำเนิดใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มพูดพลางผุดกายลุกขึ้น เดินเข้าหาเรือนภาร่อนวายุของเนินต้นจักรพรรดิ
“ข้าผู้แซ่เยี่ยนค่อนข้างสนใจการสืบทอดจริงแท้ของจักรพรรดิเอกภพ ขอท่านนักพรตอาวุโสโปรดชี้แนะ”
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของพวกจางซู่เหริน เผิงเฮ่อ และชิงซู่จื่อล้วนเปลี่ยนสี
ความหมายในวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าที่พวกเขามาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เพราะความสามารถของพวกเขา แต่เป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกออยากจะเห็นการสืบทอดของจักรพรรดิเอกภพ ดังนั้นจึงจงใจปล่อยพวกเขาเข้ามา
ข้าปล่อยท่านเข้ามา ท่านจึงเข้ามาได้
“เด็กน้อยโอหัง ข่มเหงคนเกินไปแล้ว!” เผิงเฮ่อเดือดดาล ยกมือขึ้นฟันใส่เยี่ยนจ้าวเกอก่อนหนึ่งดาบ!
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็ไม่ถือสา เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านผู้นี้ภายนอกดูหยาบกระด้าง ในใจกลับเจ้าเล่ห์ เจ้าความคิดทีเดียว”
ตอนนี้แม้ว่าพวกเผิงเฮ่อที่เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายมาถึงพร้อมกัน แต่ว่าล้วนถูกแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งที่น่าสะพรึงลดระดับพลัง ไม่ได้อยู่ในช่วงสมบูรณ์
หากชิงซู่จื่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอคนเดียว เผิงเฮ่อไม่เชื่อใจ และไม่มั่นใจต่อในตัวเขาเท่าไรนัก
พวกหยวนเสี่ยนเฉิงล้วนรออยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หลังจากเวลาผ่านไปก็ยากจะสนับสนุน
เผิงเฮ่อตอนนี้ไม่สนใจว่าชิงซู่จื่อจะเสียหน้าหรือไม่ ขอแค่ลงมือพร้อมกัน รีบเผด็จศึก กลุ้มรุมจัดการเยี่ยนจ้าวเกอให้ได้เป็นพอ
เขาชิงลงมือก่อน แต่ความจริงเป็นการบอกใบ้ให้ชิงซู่จื่อกับจางซู่เหรินลงมือพร้อมกัน
“เร่ง!” ในเสียงตวาด เผิงเฮ่อไม่ยั้งมือ กระบวนท่าแรกก็ใช้ออกอย่างสุดกำลังทันที
ในมือเขาเพิ่มดาบยาวเล่มหนึ่ง คมดาบเปล่งประกายสีฟ้า
เปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชนกลายเป็นหงส์เพลิงสีฟ้า บินเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ
หงส์เพลิงพอบรรลุถึง ร่างกายพลันแตกสลาย ประกายดาบสีแดงฟ้าแบ่งแยกฟ้าดิน
ฉายาราชาอัคคีของเผิงเฮ่อ มีสาเหตุครึ่งหนึ่งมาจากดาบวิเศษซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงเล่มนี้ที่เขาครอบครองอยู่
ใช้ศิลาเพลิงอัคคีประกายทมิฬเป็นวัตถุดิบหลัก หลอมผสานอัคคีวิญญาณและของวิเศษหลายชนิด สุดท้ายสร้างเป็นดาบอัคคีเล่มนี้ขึ้นมา
ดาบวิเศษสามารถปล่อยไฟแห่งอัคคีประกายทมิฬสีฟ้าออกมาได้ อานุภาพอยู่เหนือกว่าอัคคีวิญญาณทั่วไป แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
เผิงเฮ่อยังใช้ความพยายามทั้งหมดรวบรวมวิชาดาบในใต้หล้า หลอมรวมกับวรยุทธ์ของเนินต้นจักรพรรดิ สุดท้ายสร้างเป็นเพลงดาบราชาอัคคีชุดหนึ่ง
มันแตกต่างจากฝ่ามือเทพต้นจักรพรรดิที่จางซู่เหรินสร้างขึ้นมา ซึ่งรวมการโจมตีและการป้องกันเป็นหนึ่ง ตอนที่มันป้องกันสุดกำลังยิ่งไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นวรยุทธ์ป้องกันอันดับหนึ่งของเนินต้นจักรพรรดิ
ดาบราชาอัคคีของเผิงเฮ่อให้ความสำคัญกับการโจมตี มองข้ามการป้องกัน เปิดเส้นทางอีกเส้น และเพิ่มสภาวะใหม่ให้แก่วรยุทธ์การสืบทอดของสายเนินต้นจักรพรรดิซึ่งที่แล้วมาป้องกันเพื่อโจมตี
ตัวเผิงเฮ่อค่อนข้างแปลกแยกจากจอมยุทธ์เนินต้นจักรพรรดิตั้งแต่อายุยังน้อย
ถึงแม้จะฝึกปรือจิตจริงแท้ของสี่จริยะ แต่ตอนที่เขาฝึกฝนม้วนคัมภีร์ร่างหงส์เพลิง จะเน้นศึกษาการจุติของหงส์เพลิง และลักษณ์อัคคีผลาญฟ้า
ในตอนนี้เขาไม่ออมมือ ลงมือสุดกำลัง
ดาบอัคคีกับเพลงดาบราชาอัคคีผสานเข้าด้วยกัน เพิ่มอานุภาพมากกว่าเดิม
“มีเรื่องหนึ่งที่ท่านลืมไปแล้ว ข้าขอเตือนท่านสักหน่อย” เยี่ยนจ้าวเกอกลับหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ “ในค่ายกลของข้า ท่านไม่ได้อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าแล้ว”
ขณะที่พูด ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอมีกระบองไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้าเพิ่มขึ้นมาท่อนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะฟาดใส่ดาบอัคคีของเผิงเฮ่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี