เขตมหานภากลาง บนยอดเขาลูกหนึ่งในเขาคุนหลุน
คนหนุ่มในอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินใหญ่บนยอดผา
บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา
“เยี่ยนจ้าวเกอสังหารชิงซู่จื่อ ศิษย์เอกและนักพรตเซียนหลานศิษย์ที่เจ็ดของจักรพรรดิเอกภพ” บุรุษวัยกลางคนกล่าวเสียงทุ้ม “หลังจากจักรพรรดิเอกภพทราบย่อมไม่ยอมเลิกรา”
“ตอนนี้เขาอยู่ในมิติต่างแดน ไม่อาจปลีกตัวกลับมา แต่ว่าถ้าหากกลับมา จะต้องไปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้แน่”
คนหนุ่มอาภรณ์ดำยืนขึ้นจากก้อนหิน หมุนตัวไปถาม “ศิษย์พี่คิดทำเช่นนี้?”
บุรุษวัยกลางคนใคร่ครวญครู่หนึ่งค่อยตอบ “ข้าอยากเดินทางไปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้”
“เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ต้องเลือกโอกาสที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นจะไร้มารยาทเกินไป”
บุรุษอาภรณ์สีดำไม่ได้กล่าววาจา รอคอยคำพูดต่อไปอย่างสงบนิ่ง
“เมื่อไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง ไม่เคยต่อสู้ สุดท้ายก็ไม่อาจยอมรับ” บุรุษวัยกลางคนกล่าวสืบต่อ “คำกล่าวของท่านอาจารย์มีจุดที่พูดไม่ชัดเจน…ข้าไม่ได้สงสัยการตัดสินใจของท่านอาจารย์ แต่ต้องสืบค้นสถานะของอีกฝ่ายก่อน”
บุรุษวัยกลางคนพูดจบก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “ข้าได้ส่งข้อความหาท่านอาจารย์อีกครั้งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะได้คำตอบเมื่อไร”
ฝ่ายบุรุษในอาภรณ์สีดำตาเป็นประกาย เงยหน้ามองฟากฟ้า “ถ้าเป็นคำตอบ มาแล้ว”
“ครั้งนี้เร็วถึงเพียงนี้?” บุรุษวัยกลางคนแตกตื่น เพ่งตามองท้องฟ้า
ครู่ต่อมา อากาศพลันแตกออก แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งลงมาจากด้านบน สาดใส่ยอดเขา!
สองคนที่อยู่บนยอดเขาเห็นดังนั้นก็เงียบงันลง
“ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ” บุรุษวัยกลางคนยกมือขึ้นเก็บแสงสว่าง ไม่กล่าววาจาอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง บุรุษวัยกลางคนค่อยหัวเราะอย่างหนักใจ “ท่านอาจารย์ยังไม่เห็น ไฉนจึงได้แน่ใจว่านั่นเป็นคนที่ต้องตามหา อายุยังห่างกันมากเกินไปแล้ว…”
บุรุษอาภรณ์ดำว่า “ท่านอาจารย์ในเมื่อมีคำสั่งแล้ว คาดว่าคงมีเหตุผลของท่าน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรเตรียมตัวไว้” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยอย่างเนิบนาบ
…
เขตราตรีอุดร บนที่ราบน้ำแข็งที่อยู่ทางเหนือสุด
ประตูทางเชื่อมเขตแดนสายหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น
เพียงแต่ว่าแตกต่างจากทางเชื่อมเขตแดนทั่วไป ประตูที่เชื่อมไปยังโลกอีกใบบานนี้ มองจากด้านนอกเข้าไปด้านในเป็นสีดำสนิทเหมือนกับหลุมดำ
ด้านในมีประกายสายฟ้าหลายสายกำลังกะพริบ
ด้านนอกประตูทางเชื่อมเขตแดนในตอนนี้กำลังมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น
สตรีผู้นั้นใส่อาภรณ์สีดำ พกดาบสีดำ ผมดำระอยู่หลังศีรษะ ใช้ผ้าผืนหนึ่งมัดไว้หยาบๆ
กลับเป็นเฟิงอวิ๋นเซิงที่ออกท่องโลกคนเดียว
เพื่อไม่ทำตัวโดดเด่น นางจึงไม่ใส่เสื้อคลุมน้ำเงินขลิบดำที่ลูกศิษย์แกนกลางของเขากว่างเฉิงใส่ เพียงแต่เหลืออาภรณ์สีขาวของลูกศิษย์ในสำนักไว้ ลักษณะเด่นจึงไม่ได้ชัดเจนแบบเดิมอีก
เฟิงอวิ๋นเซิงหันไปมองทิศใต้ พำลางหัวเราะเบาๆ “ด้วยนิสัยชอบแสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนของท่าน ตอนนี้แม้ภายนอกจะปั้นหน้าเคร่งขรึม ในใจไม่ทราบได้ใจถึงเพียงใด”
เยี่ยนจ้าวเกอครั้งนี้สร้างชื่อสะท้านใต้หล้าอย่างแท้จริง
แม้นว่าจะอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บทางเหนือสุดซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโลกซ้อนโลก ก็ยังมีข่าวของเขาแพร่หลาย
“จันทร์กระจ่างกลางชลาไศย แม้นฟากฟ้าไกลแต่เป็นจันทร์เดียวกัน…” เฟิงอวิ๋นเซิงคิดถึงคำพูดที่เยี่ยนจ้าวเกอเคยกล่าว พึมพำกับตัวเอง
ครู่ต่อมานางยิ้มเล็กน้อย หยิบไข่มุกวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมา
นี่คือของขวัญที่กวนอวี่ลั่วแห่งอารามคงมายาบนเขาหอเมฆา หลานสาวของประมุขอุดรมอบให้แก่นาง
เฟิงอวิ๋นเซิงจิ้มไข่มุกวิญญาณเบาๆ ครั้งหนึ่ง แสงสาดขึ้น เหยี่ยวนกกระจอกตัวเล็กตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านใน
นางวาดตัวหนังสือจำนวนหนึ่งใส่อากาศ ตัวหนังสือสลักลงบนไข่มุกวิญญาณ ก่อนที่มันจะกลายเป็นลำแสง และถูกเหยี่ยวนกกระจอกกลืนเข้าไปในท้องไป
ต่อมานางยกมือขึ้น เหยี่ยวนกกระจกบินสู่อากาศ บินไปทางใต้ที่อยู่ไกลแสนไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี