เสียงฝีเท้าของวิกกี้นั้นเงียบสงบแต่มั่นคงในทุกอย่างย่างก้าวที่เดิน ราวกับมีค้อนขนาดใหญ่ได้เคาะหัวใจของเธอด้วยความอ่อนโยน มันอาจจะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด แต่คุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกปนกับความทุกข์ทรมานของเธอ
หลังจากที่ชายกระโปรงของผู้หญิงคนนั้นพ้นผ่านไปจากทางเข้าของประตูห้อง ประตูห้องสมุดก็ค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างเงียบ ๆ เกรกอรีเลิกคิ้ว ขณะที่ประตูห้องของเธอถูกปิดลงด้วยเสียงดังปัง
ในขณะนั้นเองน้ำเสียงเย้ยหยันของผู้ชายคนหนึ่งก็ได้ดังเข้ามาในหูฟังของเกรกอรี
“เจ้านายครับ ทำไมคุณถึงไม่แสดงความขอบคุณที่พี่สะใภ้ได้เข้ามาหาถึงที่ประตูในตอนดึกขนาดนี้ละครับ?”
น้ำเสียงแดกดันดังขึ้นผ่านจากหูฟัง
ชายคนนั้นกดริมฝีปากของเขาไว้ให้เป็นเส้นตรง เขาย้อนนึกกลับไปยังสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองนาทีที่แล้ว กับผู้หญิงที่ยืนพิงขอบประตูห้องของเขาด้วยความเกียจคร้านในชุดนอนสีม่วงแดง
ดวงตาของเขาหรี่ลงพลางพูดออกมาด้วยความเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าช่วงนี้นายจะมีเวลาเหลือค่อนข้างมากนะ ฉันว่าฉันควรจะพาเซเลน่าไปฝึกซ้อมกับนายจะดีไหม?”
“ห๊ะ ไม่นะ ไม่!” อีกฝั่งของเสียงรีบเปลี่ยนคำพูดของเขาอย่างรวดเร็ว “ผมไม่ได้เห็นอะไรเลยครับเจ้านาย ผมสาบาน!”
มุมริมฝีปากของเกรกอรียกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ชายคนนั้นเดินกลับลงบันไดไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับถ้วยกาแฟในมือของเขา
ลูกน้องของเขาส่วนใหญ่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวิกกี้เป็นอย่างดี
แต่ในท้ายที่สุด ผู้คนต่างพากันเกลียดเธอกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง ๆ
คนเหล่านี้เป็นคนที่เกรกอรีสามารถไว้วางใจได้
พวกเขารู้ว่าเกรกอรีรู้สึกอย่างไรกับวิกกี้ ดังนั้นพวกเขาจึงพากันเรียกเธอว่า 'พี่สะใภ้' อยู่เสมอ
แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองคนกลับไม่เคยจะเข้ากันได้เลย
เมื่อหวนนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ดวงตาของเกรกอรีก็มืดดับลงไปอีกครั้ง ความอบอุ่นในดวงตาของเขาก็พลันหายไป เหลือทิ้งไว้แค่เพียงความหนาวเย็นจาง ๆ ข้างในนั้น
ในทางกลับกันเมื่อประตูได้ปิดลง วิกกี้จึงหยิบโทรศัพท์ของเธอออกมา
นิ้วเรียวยาวของเธอบรรจงกดตัวเลขต่าง ๆ ลงไปบนแป้นพิมพ์ เธอเดินไปที่หน้าต่าง พลางเปิดม่านบังตาออก และรอให้สายของเธอเชื่อมต่อกับปลายทาง
เสียงมีเสน่ห์ของผู้หญิงที่อยู่ปลายสายกล่าวขึ้นมาว่า "สวัสดีค่ะ!"
เวลาผ่านไปซักพักใหญ่ แต่วิกกี้ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา หญิงสาวจึงพูดอีกครั้งด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
นิ้วมือของวิกกี้เริ่มสั่นขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากคุกมา
เธอแอบหายใจเข้าไปลึก ๆ และเมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าน้ำเสียงของเธอนั้นฟังดูสงบพอแล้ว เธอจึงพูดตอบกลับปลายสายไปว่า “ลิตเติ้ลเอท”
ปลายสายอีกฝั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเย็นชาว่า “คุณเป็นใคร?”
เธอยิ้มออกมาทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนที่อยู่ปลายสายเริ่มรู้สึกประหม่า จู่ ๆ เธอก็รู้สึกถึงความสงบ เธอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำออกมาว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันเป็นใคร แต่ว่าฉันมีงานมาเสนอให้กับคุณ อีกสองวันคุณพอจะว่างหรือเปล่า?”
"ลองว่ามาสิ!"
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้าที่โตเกียว ฉันต้องการให้คุณไปขโมยศพ”
“แค๊ก ๆ” ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นเธอจะสำลักน้ำและไอออกมา หลังจากผ่านไปได้แค่เพียงไม่กี่วินาที เธอก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ฉันไม่รับงานเกี่ยวกับซากศพโบราณอะไรนั้นหรอก!”
“สี่สิบล้าน” วิกกี้ตอบด้วยความหนักแน่น
“อืม… ไม่ควรมีข้อห้ามสำหรับการรับงานขโมยซากศพโบราณนั้นสินะ ตกลงฉันจะรับงานนี้”
"ดีจริง ๆ เดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่และรูปไปให้ก็แล้วกันนะ”
"ได้เลย!"
จากนั้นสายก็ถูกตัดไป หน้าจอโทรศัพท์ของเธอดับลง เธอหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาจากเตียง และส่งรูปภาพพร้อมที่อยู่ และรายละเอียดต่าง ๆ ไปยังผู้หญิงคนนั้นด้วยรอยยิ้มบนแก้มของเธอ
สิบนาทีต่อมาโทรศัพท์ของเธอก็ได้ดังขึ้น ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
[ว้าว นี้มันไม่ใช่แค่งานขโมยซากศพโบราณ แต่เป็นแค่เศรษฐีคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรจะทำนี่นา]
วิกกี้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แม้ว่าพวกเธอจะเคยร่วมงานกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบเจอกันจริง ๆ สักครั้ง เพราะว่าตัวเธอเองต้องการที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเธอเอาไว้ แต่ตอนนี้เธอต้องการความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนั้น เพื่อขโมยศพมาให้ได้ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อของโลกแห่งการทำงานของพวกเธอ
เธอรีบร่างข้อความและตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว [ค่าจ้างสี่สิบล้านดอลลาร์นั้นไม่ใช่แค่เฉพาะซากมัมมี่ แต่เป็นเงินสินน้ำใจสำหรับคุณด้วย]
ผู้หญิงคนนั้นตอบข้อความกลับด้วยตัวอีโมจิยิ้ม
เธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นตอนเก้าโมงเช้า วิกกี้บิดขี้เกียจด้วยความเกียจคร้าน พลางจ้องมองไปที่แสงแดดอันอบอุ่นจากข้างนอกหน้าต่างห้องนอนของเธอ เธอรู้สึกไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเลย
ชีวิตของเธอเคยยุ่งวุ่นวายมาก่อน เธอยุ่งยิ่งกว่าองค์กรนกหงส์หยกเสียอีก ยุ่งมากเสียจนกลายเป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่ได้นอนเป็นเวลาสี่วัน อย่าว่าแต่นอนเลย เรียกมันว่าเป็นปาฏิหาริย์มากกว่าที่เธอจะตื่นมาตอนไหนก็ได้ตามที่เธอต้องการ
เธอลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง พลางยิ้มกว้างออกมาเมื่อความคิดแล่นเข้ามาในหัว ชีวิตก็ดี อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย เธอรู้สึกเป็นอิสระ
ในขณะที่เธอกำลังจะแปรงฟัน เธอก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป
ยาสีฟันถูกเปิดออก แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจของเธอดีว่าเมื่อคืนนี้เธอได้ปิดฝามันไปแล้ว
เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพียงแค่กดปุ่มประตูห้องของเธอก็เปิดออก แอนเดรียเดินตรงเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวังพร้อมกับถาดในมือ และชามใบเล็กที่วางอยู่ด้านบน
แอนเดรียเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่ฉลาดและเชื่อฟังของเธอ แอนเดรียได้รับมอบหมายจากพ่อบ้านออสบอร์นให้มาดูแลเธอ
ตรงข้ามประตูกระจก วิกกี้หรี่ตาลง ขณะที่แอนเดรียกำลังวางชามลงบนโต๊ะข้างเสาเตียงของเธอ แอนเดรียหันกลับมาดูก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าผ้าห่มที่อยู่บนเตียงของวิกกี้ยับยู่ยี่ไปหมด
"อืม? เธออยู่ที่ไหนเหรอ?"
แอนเดรียที่กำลังพับผ้าพันคออยู่ก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมาจากข้างหลังของเธอ
"เธอทำอะไรอยู่เหรอ?"
ตั้งแต่เธอกลับมาที่นี่ สาวใช้ส่วนใหญ่ก็ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับเธอสักเท่าไหร่ ดังนั้นวิกกี้จึงไม่ชอบพวกเขาและไม่ค่อยอยากจะออกไปไหน เมื่อถึงเวลาทานอาหารแอนเดรียก็มักจะอยู่แต่ในห้องครัว โอกาสที่พวกเขาจะได้เจอกันนั้นน้อยกว่าโอกาสที่เธอจะได้เจอกับยูเลียนา ลินช์ ซะอีก
แล้ววันนี้เธอมาที่นี่ทำไม? วิกกี้เหลือบมองชามซุปข้างโต๊ะและเดินออกมาจากห้องน้ำ
“คือว่าฉัน… ฉัน…” เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของวิกกี้ แอนเดรียก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เธอก้มศีรษะลงและพูดติดอ่าง “นายน้อยต้องการให้ฉันมาเสริฟซุปนี้ให้กับคุณค่ะ”
“เกรกอรี เกรแฮมน่ะเหรอ?” วิกกี้เลิกคิ้วขึ้น “สายป่านนี้แล้ว เขายังไม่ออกไปข้างนอกอีก?”
“วันนี้เป็นวันอาทิตย์ค่ะ นายน้อยจึงไม่ได้ไปที่บริษัท นายน้อยเลยเชิญนายน้อยโนแลนมาตีกอล์ฟแทน”
วิกกี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องไปที่แอนเดรียและทำน้ำเสียงอ่อนหวานพลางถามเธอว่า “เธอได้เปิดม่านบังตาด้วยหรือเปล่า?”
แอนเดรียยิ้มด้วยความเขินอาย “คือว่านายน้อยสั่งให้ฉันทำเช่นนั้นค่ะ เขาบอกให้ฉันยกม่านบังตาขึ้นและเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ถ้าคุณยังคงนอนหลับอยู่ เขายังบอกให้คุณแต่งตัวทันทีที่คุณตื่นนอน เพราะคุณชายโนแลนและผองเพื่อนได้มาถึงกันแล้วค่ะ”
จากที่เธอพูดมามันหมายความว่าเกรกอรี เกรแฮม ได้ชวนเพื่อนของเขาอีกสองสามคนมาตีกอล์ฟกันใช่หรือเปล่า? ดูเหมือนว่าเขาคงอยากให้เธอมีส่วนร่วมกับพวกเขาด้วยสินะ วิกกี้ขมวดคิ้วและโบกมือให้กับแอนเดรีย "ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ฝากไปบอกเขาด้วยว่าฉันจะไปที่นั่นหลังจากที่ฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว”
ดูเหมือนแอนเดรียจะยังพูดไม่จบ แต่วิกกี้ก็ดันเธอให้ออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูด้วยเสียงปัง
วิกกี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ ทั้งหมดถูกเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญตามคำสั่งของเกรกอรี เธอเดินเลือกเสื้อผ้าพวกนั้นด้วยความพิถีพิถันและสุดท้ายก็เลือกที่จะสวมชุดลำลองสีเทา เมื่อเธอสวมมันเสร็จแล้ว เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและส่งข้อความถึงลิตเติ้ลเอท
[คุณจะมาถึงเมื่อไหร่?]
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ก่อนที่จะมีข้อความตอบกลับมา [สองทุ่ม]
เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางนั่งอยู่เงียบ ๆ เธอใส่โทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วเดินออกจากห้องไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ท่านประธานจอมเฮี๊ยบกับยัยหวานใจสุดที่รัก