บทที่ 80 อาศัยความมืด (3)
“เมื่อเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงสิ่งอื่นอีก”
จินเฟิงออกคำสั่งอย่างใจเย็น “ตีกลอง ออกคำสั่งสร้างกระบวนทัพโดยเร็วที่สุด และไปที่กระโจมด้านหลังเพื่อฆ่าพวกมัน!”
“ท่านแม่ทัพ มันสายเกินไปแล้ว”
สวีเซียวกล่าวว่า “พวกเขาได้เข้ายึดคลังอาวุธแล้ว เรามีทั้งมีโล่และไม้ไผ่อยู่ในนั้น”
ทันทีที่เขาพูดจบ จินเฟิงก็เห็นไฟลุกไหม้ที่ค่ายด้านหลัง เสียงแตกหักดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตัวไม้ไผ่เองก็ติดไฟเช่นกัน และไฟก็แรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างวาบขึ้นทันที
“แล้วที่อื่นล่ะ?”
ใบหน้าของจินเฟิงเริ่มตึงเครียด
“มีอีกที่หนึ่งที่ชิงสุยกู่”
สวีเซียวตอบกลับ
เพราะเป็นเวลาเช้าตรู่จึงมีกองทัพเถี่ยหลินไม่กี่กองที่ทำการเฝ้าติดตามที่ราบสูงใกล้ชิงสุยกู่ ในขณะที่กองกำลังที่เหลือกำลังพักผ่อน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ประจำการอยู่ตรงนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว หากมีชาวตั่งเซี่ยงบุกรุก พวกเขาสามารถสร้างกระบวนทัพต่อต้านได้ทันที
“เราควรเรียกพวกเขากลับมาหรือไม่?”
สวีเซียวถาม
จินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจ
“เรียกพวกเขากลับมาทันที! และจัดการกับเชลยศึกในค่ายด้านหลังก่อน ให้หน่วยสอดแนมจับตาดูทางเหนือให้ดี หากมีอะไรผิดปกติที่ค่ายตั่งเซี่ยง ให้กลับมารายงานโดยด่วน”
“รับทราบ!”
สวีเซียววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่ค่ายด้านหลัง เชลยศึกตั่งเซี่ยงและกองทัพเถี่ยหลิยได้เริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด
กองทัพเถี่ยหลินนั้นแข็งแกร่งกว่ากองทัพเต๋อหนิงมากในแง่ของวินัยทางทหารและฝีมือในการต่อสู้
แม้ว่าพวกเขาจะสู้ทหารม้าไม่ได้และถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ระวังตัว แต่ไม่มีทหารเถี่ยหลินคนใดหลบหนีไป พวกเขากลับรวมตัวกันอย่างรวดเร็วพร้อมเตรียมตั้งรับ
ในเวลาเดียวกัน ที่อีกด้านหนึ่งของหุบเขา หน่วยสอดแนมตั่งเซี่ยงก็เห็นไฟไหม้ในค่ายของกองทัพเถี่ยหลิน เขารีบกลับไปที่ค่ายตั่งเซี่ยงอย่างรวดเร็ว
หลี่จี้ขุยและเหล่านายทหารชั้นสูงทั้งหมดกำลังรออยู่ในกระโจมใหญ่
หลังจากได้ยินรายงานของหน่วยสอดแนมว่าเกิดเพลิงไหม้ในค่ายเถี่ยหลิน ทุกคนก็รู้ว่าแผนของกุนซือประสบความสำเร็จ
ด้วยความร่วมมือของทาสชาวฮั่น พวกเขาสามารถช่วยทหารม้าที่ถูกจับได้
“สหาย ในการต่อสู้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาถือเป็นความอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา มีเพียงเลือดของกองทัพเถี่ยหลินเท่านั้นที่จะสามารถล้างความอับอายนี้ได้”
หลี่จี้ขุยชูมือขึ้นและเอ่ย “สหาย จงไปทำลายกองทัพเถี่ยหลินให้สิ้นซาก!”
“ทำลายกองทัพเถี่ยหลินให้สิ้นซาก!”
ชาวตั่งเซี่ยงต่างก็รีบลุกขึ้นยืน
“เมื่อทุกคนเดินผ่านหุบเขา จำไว้ว่าอย่าชักธงแม่ทัพและพยายามอย่าออกคำสั่งในการรบ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของมือยิงธนู เข้าใจหรือไม่?”
กุนซือของหลี่จี้ขุยทำการกำชับกองกำลังให้คอยระวังอยู่เสมอ
“รับทราบ!”
เหล่าแม่ทัพทั้งหมดพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
พวกเขาได้เห็นพลังของธนูจ้งหนู่ของต้าคังแล้ว และไม่มีใครอยากลองทดสอบประสิทธิภาดพของมันเป็นการส่วนตัว
แต่พวกเขาไม่ได้กลัวธนูจ้งหนู่มากจนเกินไปนัก
เพราะทุกคนรู้ดีว่ากระบวนการผลิตธนูจ้งหนู่นั้นไม่ง่ายและกองทัพเถี่ยหลินก็มีไม่มาก
อีกทั้งตอนนี้ฟ้าก็ยังมืดอยู่ การปล่อยให้พลธนู ยิงธนูจ้งหนู่ออกมาตามใจชอบ จะยิงพวกเขาตายได้สักกี่คน?
ในสงครามไม่มีผู้เป็นอมตะ ใครถูกยิงตายย่อมโชคร้าย
“เมื่อข้าโค่นกองทัพเถี่ยหลินได้ ข้าจะไปที่ภูเขาและรื้อชิ้นส่วนอาวุธนั้นอย่างแน่นอน”
หลี่จี้ขุยสาปแช่งและเดินออกจากกระโจมอย่างฉุนเฉียว
ด้านนอกกระโจมใหญ่ ทหารม้าตั่งเซี่ยงก็พร้อมที่จะออกรบแล้ว
ทันทีที่ท่านแม่ทัพใหญ่มาถึง ทุกคนก็ออกเดินทางทันที
เมื่อทหารตั่งเซี่ยงมาถึงชิงสุยกู่ ทหารราบก็รีบบรรจุลูกธนูในธนูจ้งหนู่และยิงลงไปในหลุมกับดักของกองทัพเถี่ยหลิน
แม้ว่าเนินเขาจะไม่สูงนักแต่ก็เต็มไปด้วยป่าไม้และหน้าผาทำให้ม้าศึกไม่สามารถปีนขึ้นไปได้
เชลยศึกตั่งเซี่ยงกลัวการหลอกล่อของกองทัพเถี่ยหลิน พวกเขาจึงหยุดรุกไล่และไปที่เชิงเขาแทน
“จัวป่าน ดีมากที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
หลี่จี้ขุยมาถึงพร้อมกับคนของเขา เมื่อเห็นว่าทหารผู้มีความสามารถของตั่งเซี่ยงที่ถูกจับไปรอดชีวิตก็โผเข้ากอดอย่างตื่นเต้น
ธรรมชาติมนุษย์นั้นซับซ้อน ตราบใดที่ยังมีชีวิตมนุษย์ มีแม่น้ำ มีทะเลสาบ ก็ย่อมมีผลประโยชน์ ความขัดแย้ง หรือข้อพิพาท ราชวงศ์ต้าคังมีการต่อสู้ทางการเมือง แน่นอนว่า ราชวงศ์ตั่งเซี่ยงก็ยังมีการต่อสู้ทางการเมืองเช่นกัน
จัวป่านเป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่มีความสามารถมากที่สุดของหลี่จี้ขุย
การรบครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสดีที่จะได้รับความดีความชอบด้วย
เดิมทีหลี่จี้ขุยต้องการให้จัวป่านเป็นแม่ทัพ แต่น่าเสียดายที่ตระกูลเหย่ลี่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับเจ้ากรมกลาโหม ตำแหน่งแม่ทัพจึงตกเป็นของเหย่ลี่สยง
แต่ใครจะไปรู้ว่าเหย่ลี่สยงจะถูกกองทัพเถี่ยหลินสังหารเสียชีวิต ทว่าจัวป่านกลับรอดชีวิตมาได้
“ท่านแม่ทัพใหญ่ จัวป่านไม่ได้เรื่องทำให้ท่านเสียหน้า ทำให้ชาวตั่งเซี่ยงของเราเสียหน้า!”
จัวป่านคุกเข่าข้างหนึ่ง พร้อมกับลดศีรษะลงแล้วเอ่ย “ท่านฆ่าข้าเถอะ”
“ความล้มเหลวครั้งก่อนไม่ใช่อาชญากรรมทางสงคราม ใครก็ตามที่พบกับสถานการณ์นั้นย่อมต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ”
หลี่จี้ขุยนึกถึงวิธีที่กุนซือผู้เป็นที่ปรึกษาแนะนำเขาเพื่อเอาชนะใจผู้คน เขาตบไหล่จัวป่านอย่างแรง และพูดปลอบใจ “อีกอย่าง เจ้าก็เป็นผู้จัดการกับกองทัพเถี่ยหลินเมื่อครู่ อีกเดี๋ยวชัยชนะก็จะเป็นของเรา!”
“แต่กำลังหลักของกองทัพเถี่ยหลินหนีเข้าไปในภูเขา ข้ากลัวว่าเราจะถูกหลอกจึงไม่ได้ไล่ตามและฆ่าพวกเขา”
จัวป่านมองไปที่เนินเขาตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยอย่างเสียใจ
“เจ้าพูดถูก กองทัพเถี่ยหลินมีไหวพริบเหมือนสุนัขจิ้งจอก และตอนนี้ก็ยังมืดมาก ทหารม้าของเราไม่เหมาะกับการขึ้นภูเขา เราไม่จำเป็นต้องไล่ล่าพวกเขา”
หลี่จี้ขุยกล่าวต่อ “ข้าได้สั่งให้คนมาล้อมเขานี้ไว้แล้ว พวกเขาหนีไม่พ้นแน่น!
ก่อนหน้านี้เจ้าคงถูกทรมานมามาก ไปพักผ่อนก่อนเถิด ตอนรุ่งสางค่อยจัดการกับพวกศัตรู”
“รับทราบ!”
ตอนนี้จัวป่านทั้งเหนื่อยทั้งหิว เขาจึงไม่ฝืนตัวเองและไปหาสถานที่พักผ่อน
เขาต้องนอนพักเอาแรง เพราะพรุ่งนี้ยังมีการต่อสู้อันหนักหน่วงที่ต้องเผชิญอยู่!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์