บทที่ 82 ชิ่งไหวฟื้นแล้ว
“จางฉีเวยกลัวการต่อสู้และหลบหนี!”
เมื่อแม่ทัพฟ่านได้ยินว่าจางฉีเวยหนีไป เขาก็อดที่จะฉุนเฉียวไม่ได้
จากนั้นความรู้สึกโกรธของก็พลุ่งพล่านเพราะไม่สามารถหาวิธีจัดการกับชายผู้นี้
หากอีกฝ่ายเป็นแม่ทัพธรรมดา เขาก็จะส่งคนไปไล่ล่าผู้ที่ละทิ้งกองทัพและได้ตัวมาภายในวันเดียว
ทว่าจางฉีเวยเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลจาง พี่สาวของเขาเป็นหนึ่งในนางสนมที่ฝ่าบาทโปรดปรานที่สุด แม้ว่าแม่ทัพฟ่านจะโกรธ ขาก็ไม่กล้าฆ่าชายผู้นี้
สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือจดชื่อจางฉีเวยเอาไว้
“ช่างเถอะ คนอย่างจางฉีเวยมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาหนีไป”
แม่ทัพฟ่านขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ส่งหน่วยสอดแนมออกไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของชาวตั่งเซี่ยง และแจ้งกองทัพตระกูลฟ่านเพื่อขอกำลังเสริม เพิ่มกองกำลังลาดตระเวน เตรียมพร้อมรับมือกับชาวตั่งเซี่ยงที่อาจโจมตีเมือง”
ไม่ช้า หน่วยสอดแนมจำนวนมากก็ออกจากเมืองไปอย่างเงียบ ๆ และก่อนยามอู่ก็มีข่าวส่งกลับมา
ในปีก่อน ๆ หลังจากชาวตั่งเซี่ยงผ่านชิงสุยกู่มาได้ พวกเขาจะนำกองกำลังไปปิดล้อมเมืองเว่ยโจวทันที
แต่ข่าวที่หน่วยสอดแนมนำกลับมาคือกองกำลังหลักของตั่งเซี่ยงยังคงรั้งตั้งค่ายอยู่ที่เขาชิงสุ่ย
“ดูเหมือนพวกเขาจะวางแผนปิดล้อมกองทัพเถี่ยหลิน ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จินจะรับมือได้หรือไม่”
แม่ทัพฟ่านถอนหายใจและถามต่อ “อย่างไรก็ตาม เกิดอะไรขึ้นกับชิ่งไหวที่นั่น? เขายังคงไม่ฟื้นขึ้นมาหรือ?”
“เรียนท่านแม่ทัพ แม่ทัพชิ่งไหวฟื้นแล้วเมื่อคืนนี้ แต่เขาคงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชิงสุยกู่”
รองผู้บัญชาการทหารได้ตอบกลับ
แม่ทัพฟ่านจึงได้ตัดสินใจ
“ชิ่งไหวเพิ่งได้สติ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่บอกข่าวใด ๆ ให้เขาทราบในตอนนี้”
“ยามนี้คนทั้งเมืองกำลังคุยกันว่าชาวตั่งเซี่ยงจะมาเมื่อใด ข้าเกรงว่าข่าวนี้จะถึงหูเขาในที่สุด”
รองผู้บัญชาการกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่พูดจบ ผู้ดูแลก็เข้ามาและประกาศว่าชิ่งไหวมาถึงที่ประตูแล้ว
แม่ทัพฟ่านถอนหายใจแล้วเอ่ยกับผู้ดูแลว่า “ให้เขาเข้ามา”
“ท่านแม่ทัพ ท่านควรออกไปดูด้วยตัวเอง” ผู้ดูแลลังเลและเอ่ย “ชิ่งไหว… ค่อนข้างน่ากลัว…”
“น่ากลัวงั้นหรือ?”
แม่ทัพฟ่านขมวดคิ้วและเดินนำรองผู้บัญชาการออกจากห้องหารือ
ทันทีที่เขามาถึงประตูก็เห็นชิ่งไหวยืนอยู่ด้านนอก อีกฝ่ายผมเผ้ากระเซอะกระเซิงและมีใบหน้าซีดเซียว
ท่านโหวหนุ่มถือดาบไว้ในมือ ดวงตาแดงก่ำของเขาจ้องมองแม่ทัพฟ่านอย่างโกรธเกรี้ยว “จางฉีเวย อยู่ที่ใด?”
หลังจากฟื้นขึ้น ชิ่งไหวก็ถามถึงสถานการณ์ของกองทัพเถี่ยหลินทันที
เมื่อเขารู้ว่าจินเฟิงสั่งให้กองกำลังตั้งกระบวนทัพแฟแลงซ์และสามารถเอาชนะทหารม้าตั่งเซี่ยงได้ ชิ่งไหวก็หัวเราะอย่างมีความสุขและดื่มน้ำข้าวต้มไปสองถ้วยใหญ่
แต่ผลคือ หลังรุ่งสางเขากลับได้รับข่าวว่า กองทัพเต๋อหนิงล้มเหลวในการดูแลเชลยศึก ทำให้กองทัพเถี่ยหลินถูกชาวตั่งเซี่ยงล้อมอยู่ที่ตีนเขาชิงสุ่ย
ท่านโหวหนุ่มโกรธมากจนหมดสติไปอีกครั้ง และเพิ่งจะฟื้นขึ้นตอนนี้
จากนั้นเขาก็สวมรองเท้า ไม่ได้สนใจเรื่องความเรียบร้อยของผมเผ้าและตรงมาหาจางฉีเวยทันที
“ชิ่งไหว เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่หายดี เจ้าจะเคลื่อนไหวมาก ๆ ได้อย่างไร เข้ามาก่อนสิ”
แม่ทัพฟ่านโบกมือให้รองแม่ทัพและผู้ดูแลช่วยประคองชิ่งไหว
“อย่ามาแตะต้องข้า!”
ชิ่งไหวตวัดดาบในมือแล้วกัดฟันถาม “จางฉีเวย อยู่ที่ใด?”
“จางฉีเวยกลัวการลงโทษและไม่กล้าเข้ามาในเมือง เช้าวันนี้เขาได้พาคนของตนกลับไปที่เปี้ยนจิงแล้ว”
แม่ทัพฟ่านกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“บัดซบ!”
ชิ่งไหวโกรธมากจนใช้ดาบฟันเข้าที่สิงโตหินหน้าประตู
บางทีเขาอาจใช้กำลังมากเกินไปจนกระทบกระเทือนบาดแผล ไม่นานเสื้อผ้าสีขาวของท่านโหวหนุ่มจึงเต็มไปด้วยเลือด
“ท่านโหว ท่านอย่าเคลื่อนไหวร่างกายเช่นนี้”
ขณะที่กำลังกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ จินตนาการเรื่องการสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และหาวิธีสกัดความดีความชอบของกองทัพเถี่ยหลินและชิ่งไหวอยู่นั้น ผู้ส่งสารของแม่ทัพใหญ่ฟ่านก็มาถึง
เมื่อได้ฟังข่าวก็ต้องตกตะลึง นี่มันเหมือนกับเวลาง่วงแล้วมีคนส่งหมอนกลับมาให้เลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขารู้ว่าชิ่งไหวเต็มใจที่จะบริจาครั้วลวดหนามให้ บุรุษไม่ได้ความเหล่านี้ก็รีบไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ เพราะกลัวว่าหากล่าช้า โอกาสสร้างความดีความชอบของพวกเขาจะหลุดลอยไป
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปยังจวนแม่ทัพ ก็คว้าตัวแม่ทัพฟ่านและชิ่งไหวพร้อมทุบหน้าอกของตนและสัญญาว่าจะช่วยเหลือกองทัพเถี่ยหลิน
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพฟ่านได้เห็นความกระตือรือร้นอยากทำสงครามสูงขนาดนี้ นับตั้งแต่พวกเขาเข้าร่วมกองทัพ
แต่ฟ่านเหวินเยวียนไม่มีความสุข
การประชุมทางทหารที่จริงจังได้กลายมาเป็นตลาดขายผักเพราะแม่ทัพเหล่านี้ไปแล้ว
เหล่าแม่ทัพก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาคงจินตนาการถึงกองทัพที่พวกเขาเป็นผู้นำ…
ในท้ายที่สุด ชิ่งไหวได้ตัดสินใจให้กองทัพอันซู่และกองทัพหย่งอันเป็นผู้เดินทัพ
นี่เป็นการตัดสินใจที่ท่านโหวหนุ่มทำเมื่อพิจารณาจากทุกด้าน
กองทัพอันซู่นำโดยติงอวิ๋นเฟย บุตรชายคนที่สองของติงจ้าวชวินรองเจ้ากรมกลาโหม
ติงอวิ๋นเฟยเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพและมีทหารผ่านศึกหลายคนที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ฝีมือการต่อสู้ของพวกเขาค่อนข้างแข็งแกร่งกว่ากองทัพอื่น ๆ
เฉิงเผิง แม่ทัพแห่งกองทัพหย่งอัน อยู่ในวัยสี่สิบเศษ เขาเป็นบุรุษที่ดูมีความมั่นคงกว่าและเคยมีประสบการณ์เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากกับชาวตั่งเซี่ยงมาก่อน เขาไม่เหมือนจางฉีเวยที่เป็นผู้นำแต่วิ่งหนีเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มแย่ลง
ส่วนแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับเลือก ต่างก็ออกจากจวนแม่ทัพใหญ่อย่างหดหู่ใจ
เฉิงเผิงและติงอวิ๋นเฟยอยู่ต่อเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการรบร่วมกับแม่ทัพฟ่านและชิ่งไหว
“แม่ทัพฟ่าน ชิ่งโหว ท่านวางใจได้เลย พวกเรากองทัพอันซู่จะดำเนินให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจอันยิ่งใหญ่ เราจะเอาชนะทหารม้าตั่งเซี่ยงและช่วยเหลือสหายกองทัพเถี่ยหลินให้ได้!”
ติงอวิ๋นเฟยน้อมรับคำสั่งทหารและตบหน้าอกของเขาอย่างองอาจเพื่อปฏิญาณตน
เฉิงเผิงไม่ได้สัญญาอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าให้ชิ่งไหว
“เช่นนั้น ข้าฝากแม่ทัพติงและแม่ทัพเฉิงด้วย”
ชิ่งไหวยกมือขึ้นแล้วเอ่ย “หากสามารถช่วยกองทัพเถี่ยหลินไว้ได้ ข้าผู้นี้จะขอบคุณพวกเจ้ามาก”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์