บทที่ 92 ตกหลุมพราง
เมื่อรู้ว่ามีธนูจ้งหนู่ของกองทัพเถี่ยหลินอยู่เหนือหัว ทหารม้าทุกคนจึงไม่กล้าขี่ม้า ในทางกลับกันพวกเขากลับให้ม้าเดินนำและซ่อนร่างของตัวเองไว้ด้านหลังม้าให้มากที่สุด
ทหารราบก็เหมือนกัน พวกเขาพยายามซ่อนตัวอยู่หลังเกวียน
กองขนส่งเสบียงของตั่งเซี่ยงรีบเข้าไปในชิงสุยกู่อย่างเร่งรีบ โดยหวังว่าจะผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนใครจะตกเป็นเป้าของกองทัพเถี่ยหลินนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจคือขณะที่พวกเขาทั้งหมดรีบไปที่กลางหุบเขา กองทัพเถี่ยหลินซึ่งอยู่เหนือหัวไม่ยิงธนูด้วยซ้ำ
เป็นไปได้ไหมที่ธนูจ้งหนู่ทั้งหมดของอีกฝ่ายจะถูกย้ายไปอีกด้านหนึ่งเพื่อป้องกันการโจมตีบนภูเขา?
หากเป็นเช่นนั้นการเดินทางของพวกเขาจะปลอดภัยและราบรื่น
อาต๋าซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันกองกำลังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
พวกเขาไม่รู้เลยว่าจินเฟิงบนยอดเขากำลังมองลงมาด้วยความเย็นชา
ถัดจากจินเฟิง มีลูกธนูที่บรรจุไว้พร้อมที่จะยิงออกไป
หลังจากยืนยันว่ากองขนส่งเสบียงทั้งหมดมาถึงกลางหุบเขาแล้ว จินเฟิงก็ออกคำสั่งให้โจมตีอย่างใจเย็น
“กองที่สอง ยิง!”
ปัก ปัก ปัก…
ทหารกองทัพเถี่ยหลินที่เตรียมพร้อมมานานแล้ว เหวี่ยงค้อนขนาดใหญ่และกระทุ้งเข้าที่ไกยิง
ตะกร้าบรรจุหินลอยออกไปพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง
หากต้องบรรทุกหินขนาดใหญ่เท่ากับอ่างล้างหน้า เครื่องเหวี่ยงหินนี้ก็บรรจุหินได้เพียงก้อนเดียว
เพื่อเพิ่มระยะโจมตี จินเฟิงไม่ได้ใช้หินขนาดใหญ่แต่ใช้หินขนาดเท่ากำปั้นแทน
ด้วยวิธีนี้ เครื่องเหวี่ยงหินจะสามารถขว้างก้อนหินได้ครั้งละหลายสิบก้อน
เครื่องเหวี่ยงหินทั้งสองตัวเหวี่ยงก้อนหินหลายร้อยก้อนในเวลาเดียวกัน ดูราวกับฝนหินที่ปกคลุมกองขนส่งเสบียงตั่งเซี่ยงไว้
แม้ว่าก้อนหินจะมีขนาดเพียงกำปั้น แต่เมื่อโยนมันจากที่สูง แรงเหวี่ยงจากเครื่องเหวี่ยงหินจะทำให้พลังของหินแต่ละก้อนไม่สามารถประเมินค่าได้
ทันใดนั้นกองขนส่งเสบียงตั่งเซี่ยงในหุบเขาก็ได้ยินเสียงจากเหนือหัว เมื่อพวกเขามองขึ้นไปตามสัญชาติญาณก็เห็นว่าหินจำนวนมากกำลังหลั่งไหลลงมาไม่หยุด
“ซ่อนตัวเร็วเข้า!”
อาต๋าไม่กลัวที่จะเปิดเผยตัวตนของเขาอีกต่อไป ตะโกนจนสุดปอดว่า “ซ่อนตัวไว้จนกว่าจะ…”
แต่ก่อนที่จะพูดจบประโยค เขาก็ถูกก้อนหินฟาดเข้าที่ศีรษะ
หมวกเกราะแข็งถูกหิ้นกระแทกจนชิ้นส่วนขนาดใหญ่มีรอยบุบ
เสียงของอาต๋าหยุดกะทันหัน จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นเสียงดัง เลือดจำนวนไม่น้อยไหลออกมาจากหมวกช้า ๆ
ม้าของเขาก็ถูกก้อนหินสองก้อนกระแทกเช่นกัน ก้อนหนึ่งที่ขาและอีกก้อนหนึ่งที่ท้อง
หลังโดนโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว ขาของม้าก็หักเพราะโดนหินกระแทก
สำหรับก้อนที่โดนท้อง มันกระแทกและทะลุหน้าท้องของม้าศึกไปแล้ว
ม้าศึกล้มลงกับพื้น ขามันดีดดิ้นอยู่ครั้งสองครั้ง ก่อนจะถูกหินกระแทกเข้าที่ศีรษะ จากนั้นมันก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป…
ฟังดูช้า แต่จริง ๆ แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก
ไม่กี่อึดใจ ก้อนหินทั้งหมดก็ตกลงสู่พื้น
จากทหารราบหนึ่งพันนายและทหารม้าสามร้อยนาย ตอนนี้เหลือทหารที่มีสภาพสมบูรณ์ไม่ถึงห้าร้อยนายด้วยซ้ำ
ที่รอดเพราะตอบสนองอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ใต้เกวียนหรือใต้ม้าได้ทันเวลา จึงพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด
ส่วนทหารที่เหลือล้วนถูกเครื่องเหวี่ยงหินสังหารหรือไม่ก็พิการไปแล้ว
ผู้ที่ถูกกระแทกจนพิการโดยพื้นฐานอวัยวะสำคัญมักหายไป ซึ่งนั่นแย่กว่าการตายหลายเท่า
แรงกระแทกของก้อนหินนั้นรุนแรงมาก แม้ว่าจะไม่โดนส่วนสำคัญภายในแต่ก็อาจทำให้ร่างกายแตกหักหรือบาดเจ็บสาหัสได้
ด้วยระดับการแพทย์ของยุคสมัยนี้ เกรงว่าแม้จะได้รับการช่วยเหลือทันที ก็คงแทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต
นอกจากนั้นตอนนี้ยังไม่มีใครมาช่วยเหลือพวกเขาได้
พวกเขาจึงทำได้แค่อดทนต่อความเจ็บปวดและตายไปอย่างช้า ๆ
จากจำนวนม้าศึกสามร้อยตัว ตอนนี้เหลือน้อยกว่าห้าสิบตัวที่อยู่ในสภาพดี ส่วนที่เหลือก็ล้มลงทั้งหมด
ชั่วขณะหนึ่งหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของคนและม้า
จินเฟิงบนยอดเขารู้สึกชาที่หนังศีรษะเมื่อได้ยินเสียงนั้น เขารู้ดีว่านี่คือความโหดร้ายของสงคราม เขาต้องไม่ใจอ่อน ไม่เช่นนั้น ท้ายที่สุดความใจอ่อนจะนำความโหดร้ายมาสู่คนของเขาเอง
เมื่อชาวตั่งเซี่ยงเดินทัพไปทางใต้ พวกเขาทั้งเผา ฆ่า ปล้นสะดม และกระทำสิ่งชั่วร้ายทุกประเภท พวกเขาไม่ได้ถือว่าชาวต้าคังเป็นมนุษย์เลย
แต่การสู้รบจะไม่มีการล้มตายได้อย่างไร?
พวกเขาคุ้นเคยกับฉากนองเลือดมานานแล้ว
สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจริง ๆ คือวิธีการโจมตีของกองทัพเถี่ยหลิน ดูจากสถานการณ์แล้วความคิดที่ต้องการจะผ่านหุบเขาชิงสุยกู่กลับไปตั่งเซี่ยงของพวกเขา ดูเพ้อฝันสุด ๆ!
ภูเขาฮุยหลางถูกปิดกั้นและหุบเขาชิงสุ่ยก็กลายเป็นสถานที่ปิดตาย
ยุ้งฉางก็ถูกเผาเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
หากแม่ทัพเป็นเช่นนี้ ทหารธรรมดาก็สามารถจินตนาการฉากต่อไปได้
ทหารตั่งเซี่ยงทุกคนที่ได้เห็นการต่อสู้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวังในใจ
“เหตุใดเป็นเช่นนี้ไปได้?”
หลี่จี้ขุยกุมศีรษะและนั่งลงบนพื้น
เขาไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าเขาได้ล้อมกองทัพเถี่ยหลินบนภูเขาชิงสุ่ยและได้เปรียบทุกประการ
เหตุใดสถานการณ์ถึงพลิกกลับในเวลาเพียงสองวันและกลายเป็นตั่งเซี่ยงที่ติดกับดัก?
คนเดียวที่ค่อนข้างสงบตอนนี้คือกุนซือของหลี่จี้ขุย
“ท่านแม่ทัพ เราติดกับดักแล้ว!”
กุนซือถอนหายใจและพูดว่า “สำหรับแผนของวันนี้ เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น”
“ข้าควรทำอย่างไร?”
หลี่จี้ขุยเงยหน้าขึ้นมองและถามราวกับว่าเขายังเหลือฟางเส้นสุดท้าย
“โจมตีภูเขาชิงสุ่ย!”
กุนซือตอบทันที
“แต่วิธีเดียวที่จะขึ้นไปบนภูเขาชิงสุ่ยนั้นถูกขวางด้วยธนูจ้งหนู่ของกองทัพเถี่ยหลิน เราจึงไม่สามารถโจมตีมันได้”
“เราต้องโจมตีแม้ว่าเราจะโจมตีไม่ได้ ไม่เช่นนั้น เราทุกคนจะต้องตายที่นี่!”
กุนซือกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าจะคิดหาวิธีเอง!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์