หลังกินขนมกุยช่ายทอดกับโจ๊กข้าวฟ่างแล้ว เจ้าใหญ่ก็เป็นคนทำความสะอาดชามและตะเกียบ ขณะที่เจ้ารองกับเจ้าสามเล่นกันตรงทางเข้าบ้าน
หลินชิงเหอกลับเข้าไปในห้อง ส่วนโจวชิงไป๋เดินทางไปที่บ้านของเลขาธิการหมู่บ้าน
“แม่ ผมล้างชามเสร็จแล้วนะครับ หม้อด้วย” เจ้าใหญ่บอก
“งั้นลูกไปทำการบ้านได้ แม่ทำหงโต้วถังเสร็จตั้งแต่บ่ายแล้ว ตอนนี้ยังไม่ต้องล้างหม้อส่วนนั้นนะ” หลินชิงเหอตอบ เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กชายหมายความว่าอะไร
เจ้าใหญ่ได้ยินแล้วก็ไปทำการบ้าน
ถึงตอนนี้หลินชิงเหอก็หยิบทองรูปพรรณกับชิ้นหยกที่โจวชิงไป๋ให้เธอไว้
ไม่ว่าจะเป็นทองรูปพรรณหรือชิ้นหยก มันก็ล้วนเป็นของคุณภาพดี
แต่ในยุคนี้ของพวกนี้มีค่าไม่เท่ากับหมั่นโถวแป้งขาวก้อนหนึ่งหรอก
ไม่เพียงแต่มันจะไร้ค่า ใครก็ตามที่เผยมันสู่สาธารณชนก็จะถูกประณามอีกด้วย
แต่หลินชิงเหอก็มีความคิดอย่างหนึ่งหลังมองของพวกนี้แล้ว
แต่ความคิดนี้เป็นอันต้องพักไว้ก่อนจนกว่าการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนจะหมดลง ถึงตอนนั้นมันคงจะมีธัญพืชเหลือพอให้ทำอะไรอย่างอื่น
หญิงสาวเก็บของทั้งหมดไว้ในมิติ เช่นเดียวกับแสตมป์ที่เธอซื้อมาก่อนหน้านี้ในทุกแบบทุกรุ่น
เธอเก็บไว้เพื่อให้มูลค่าในอนาคตของพวกมันเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?
หลินชิงเหอนับสิ่งของที่อยู่ในมิติอีกครั้ง ผลไม้ถูกเอามากินหมดแล้ว ซาลาเปาก็หมดแล้วในไม่กี่วันที่ผ่านมา แป้งกับข้าวยังเหลืออยู่ในนั้นครึ่งหนึ่ง เกือบครึ่งหนึ่งที่เหลือในนั้นก็มีถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู น้ำมัน เกลือ น้ำตาลกรวด และน้ำตาลทรายแดง
พวกเขาทานเนื้อหมูกับไข่ในปริมาณมาก มันลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามของปริมาณเดิม ซึ่งถือว่าไม่มากเลย
ดูเหมือนคราวหน้าเธอต้องประหยัดมากกว่านี้แล้ว
แต่ว่าเธอมีเงินมากกว่าแต่ก่อน
ต่อให้พวกเขาซื้อของชิ้นใหญ่อย่างจักรยานไป มันก็ยังเหลือเงินอยู่อีกมาก เงินที่ได้จากการขายเนื้อหมูต่อเดือนของเธอมีมากกว่าเงินเดือนของซูต้าหลินอีก มันลดลงไม่มากหรอก
ราวหนึ่งทุ่ม หลินชิงเหอก็ตักหงโต้งถัง หรือซุปถั่วแดงหวานกับข้าวบาร์เลย์ ให้เด็ก ๆ ทาน
เด็ก ๆ กินได้ไม่มากนัก แต่ละคนจึงได้ทานกันคนละถ้วย หลินชิงเหอเองก็ได้ทานหนึ่งถ้วย ที่เหลือจึงเป็นของโจวชิงไป๋ที่ทานคนเดียวหมดสองถ้วย
ในค่ำนี้เอง เพื่อให้ตัวเองสมความปรารถนาที่จะได้ลูกสาว โจวชิงไป๋ที่ทานกุยช่ายเข้าไปจึงคึกคักอย่างมาก
ตอนนี้อากาศอุ่นขึ้นแล้ว และลูก ๆ สามคนก็หลับอยู่ในห้องข้าง ๆ จึงไม่เป็นปัญหาเลยหากพวกเขาจะส่งเสียงดังบ้าง ซึ่งเรื่องนี้พอจะนึกภาพออกเลยว่าโจวชิงไป๋รู้สึกพอใจขนาดไหน
และแน่นอนว่าหลินชิงเหอก็สนุกไปกับมันด้วย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่เดือนมิถุนายน
อากาศในเดือนมิถุนายนเริ่มร้อนขึ้น แต่ละวันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบ ยิ่งกว่านั้นสิ้นเดือนนี้ยังเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนอีกด้วย
หลายวันมานี้ช่างร้อนอบอ้าว แถมยังมีฝนตกฉับพลัน มีฟ้าแลบฟ้าร้องดังสะเทือน และมีฝนเทลงมาค่อนข้างหนักด้วย
“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เลขาธิการสาขาของหมู่บ้านกับหัวหน้าฝ่ายผลิตต้องร้องไห้แน่ครับ” เจ้าใหญ่มองฝนที่ตกหนักด้านนอกแล้วก็เอ่ยด้วยถ้อยคำฟังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาพลางถอนหายใจ แม้ตอนนี้ตัวเขาจะยังเด็กอยู่ก็ตาม
หลินชิงเหอกวาดสายตามองเขา “ไม่มีอะไรหรอก อากาศเดือนมิถุนายนก็แปรปรวนแบบนี้แหละ วันพรุ่งนี้ท้องฟ้าคงแจ่มใสแล้ว”
แต่เห็นชัดว่าครั้งนี้มันไม่ได้แจ่มใสอย่างที่เธอบอก หลังฝนเทลงมาอย่างต่อเนื่องเจ็ดวัน มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าฝ่ายผลิตกับเลขาธิการสาขาของหมู่บ้านเลยว่าทั้งฝ่ายผลิตต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนกขนาดไหน
แต่มันก็ยังไม่หนีจากคำพูดนั้นที่ว่าอากาศเดือนมิถุนายนช่างแปรปรวน
หลังฝนตกหนักในคืนนั้น เช้าวันต่อมาท้องฟ้าก็แจ่มใส
ฟ้าหลังฝนช่างสว่างเป็นพิเศษและแสงแดดหลังฝนตกก็ร้อนอย่างยิ่งด้วย
แต่ฝ่ายผลิตทั้งหมดไม่สนใจว่ามันจะร้อนหรือไม่ พวกเขาต่างรู้สึกโล่งใจ
จากนั้นพวกเขาก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อนอย่างรวดเร็ว
หลินชิงเหอไม่สนใจกับการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน เธอเผาใบอ้ายเย่(1)ทันทีที่ฝนหยุดตกจนควันคลุ้งไปทั่วบ้าน เป้าหมายหลักคือในเล้าหมูกับเล้าไก่ ไม่เพียงแต่เธอจะเผาใบอ้ายเย่แล้ว เธอยังโรยปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกด้วย สุขอนามัยของบ้านต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
ไม่กี่วันต่อมาหลังจากท้องฟ้าแจ่มใส่ ทั้งหมู่บ้านก็มีแต่เสียงแตรบ่งบอกถึงการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อน
“อะแฮ่ม คือว่าฉันรู้จักกับหญิงชราคนหนึ่งในเมืองน่ะค่ะ สภาพความเป็นอยู่ของหล่อนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หล่อนมักจะอดมื้อกินมื้ออยู่ตลอด แต่ลูกสาวของหล่อนทำงานในโรงงานทอผ้า ฉันก็เลยอยากแลกธัญพืชกับผ้าขี้ริ้วบางส่วนมาทำรองเท้าสำหรับคุณกับลูก ๆ โดยเฉพาะรองเท้าของคุณกับเจ้าใหญ่ที่ใช้บ่อยจนจะขาดแล้ว” หลินชิงเหอบอก
ดวงตาของโจวชิงไป๋อ่อนลงเมื่อได้ยินดังนั้น “คุณทำงานหนักจริง ๆ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ บางทีชีวิตชาติก่อนฉันอาจเป็นหนี้บุญคุณคุณอยู่ก็ได้” หลินชิงเหอโบกมือและเอ่ยอย่างปลง ๆ
โจวชิงไป๋หัวเราะในลำคอ
และตอนนี้เองหลินชิงเหอก็เริ่มธุรกิจขายอาหารของตนเอง
ความจริงแล้วยุคนี้ไม่มีอาหารให้ขายได้มากนัก เธอซื้อเมล็ดข้าวโพดเพิ่มเติมเป็น 300 ชั่งกับข้าวสาลีราว 50 กว่าชั่ง
แต่เธอซื้อมันหวาน มันฝรั่ง ถั่วต่าง ๆ ถั่วลิสง เมล็ดงา และอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก
ของเหล่านี้ถูกย้ายไปเก็บในมิติทีละน้อย จะได้ขนย้ายออกมาขายได้ในทุกครั้งที่เดินทางเข้าอำเภอ
ราคาอาหารที่ไม่มีคูปองอาหารสูงกว่าเล็กน้อยและสะดวกต่อการซื้อขาย หลินชิงเหอเองก็ชำนาญในเรื่องนี้แล้ว มีเงิน มีสินค้า ก็ขายของได้ ช่างสะดวกสบายยิ่งนัก
ราคาธัญพืชพวกนี้สูงขึ้นเกือบสองเท่าตัว นั่นหมายความว่าเธอจะได้กำไรเกือบ 70 หยวน ซึ่งในเรื่องนี้ การขายข้าวสาลีนับว่าได้กำไรมากที่สุด
แต่เธอมีข้าวสาลีอยู่น้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นแล้วเธอคงได้เงินมากกว่านี้
…………………………………………………………………………………
(1)โกฐจุฬาลัมพาจีน ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia argyi ใช้จุดรมเพื่อฆ่าเชื้อโรค (จาก https://images.app.goo.gl/hp3E2sUyvUUNcEWQ7)
สารจากผู้แปล
พ่อยังไม่ล้มเลิกความพยายามในการทำลูกสาวนะคะ สู้ต่อไปค่ะคุณพ่อ
ภาพลักษณ์ของแม่ในสายตาคนทั้งหมู่บ้านดีขึ้นแล้ว แต่อย่าบอกว่าแม่เป็นคนดีเต็มตัวเลยค่ะ แม่ก็เป็นของแม่แบบนี้อยู่แล้ว
แม่ขยายธุรกิจขายอาหารแล้วค่ะ คราวหน้าแม่จะขายอะไร ติดตามตอนต่อไปนะคะ
ไหหม่า (海馬)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...