ครั้งนี้มีอาหารอยู่ที่บ้านมากกว่าปกติ เนื่องจากมีส่วนของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรวมอยู่ด้วย
มันมากเสียจนรถเข็นคันหนึ่งบรรทุกไม่พอ หลินชิงเหอเลยบอกให้โจวต้งขนกลับไปรอบแรกก่อน จากนั้นก็ค่อยมาขนอีกรอบ
โดยไม่ต้องบอกเลยว่าโจวต้งไม่คัดค้านเรื่องนี้ เขาขนของกลับไปรอบแรกก่อน หลังจากนั้นก็นำรถเข็นกลับมาให้คุณอาชายและอาสะใภ้ไว้ขนธัญพืช
ยิ่งกว่านั้นมันยังไม่เป็นความลับอีกต่อไปในครอบครัวตระกูลโจวเรื่องที่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเริ่มมาร่วมทานอาหารที่บ้านสะใภ้สี่
นับตั้งแต่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงปีนี้มาถึง ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปรุงอาหารมากนัก พวกเขามักจะกินข้าวที่บ้านสะใภ้สี่จากนั้นก็ค่อยกลับไปนอนที่บ้านเดิม
พวกเขาก็เลยไม่พูดอะไรเมื่อเห็นคู่สามีภรรยาชราขนอาหารไปที่บ้านของลูกชายสี่
พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง กับพี่ชายสามต่างเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามไม่ได้พูดอะไร มีแต่สะใภ้รองเท่านั้นที่บ่นขึ้นมาเล็กน้อย “อาหารเยอะเหลือเกิน!”
“ไม่มากหรอก พอกินจนกระทั่งการแจกจ่ายอาหารครั้งหน้าเท่านั้นแหละ” พี่ชายรองเอ่ยอย่างจริงใจ
อาหารดูเหมือนจะมาก แต่สามีภรรยาชราคู่นี้ก็ทานจุเหมือนกัน ดูจากที่พวกเขาทานข้าวด้วยกันในอดีตแล้วพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะ?
ดังนั้นอย่ามองที่ปริมาณว่ามันมากเลย เมื่อใดที่ถูกบริโภคแล้วมันก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว
“คุณพ่อคุณแม่ชอบบ้านสะใภ้สี่ ดังนั้นพวกเขาก็คงต้องกินอย่างประหยัดแน่” สะใภ้รองแค่น
“คุณคิดว่าอาสี่จะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่กินอย่างประหยัดเหรอ?” พี่ชายรองมองหล่อนอย่างประหลาดใด
พูดถึงเรื่องมอบความกตัญญูต่อพ่อแม่ น้องชายสี่ให้ความใส่ใจมากกว่าพวกเขาเสียอีก แล้วน้องชายสี่มีนิสัยเป็นอย่างไรน่ะเหรอ? เขาคงจะยอมกินให้น้อยลงดีกว่าปล่อยให้พ่อแม่ของเขาหิวน่ะสิ
สะใภ้รองเมื่อโดนขัดอีกดอกหนึ่งก็เอ่ยเสียงแหว “คุณจงใจยั่วโมโหฉันแล้วนะ!”
“คุณหยุดสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ดีกว่าน่า ในความเห็นของผม ให้พ่อแม่ผมอยู่แบบนี้ดีกว่า ถ้าตัวคุณเองไม่ทำอาหารให้คุณพ่อกับคุณแม่ ก็อย่าใส่ใจเรื่องที่คุณพ่อกับคุณแม่มอบอาหารของพวกเขาให้ครอบครัวอาสี่เพื่อจะได้ทานอาหารกับอาสี่เลย” พี่ชายรองเอ่ย
เขารู้สึกว่ามันดีมากแล้ว หากไม่ใช่เพราะภรรยาของเขาเอ่ยปฏิเสธอย่างแน่นอน เขาก็อยากจะเชิญพ่อแม่ของเขาให้มาทานอาหารกับพวกเขาโดยที่พ่อแม่ของเขาแค่ทำอาหารส่วนของทั้งคู่มาร่วมทานด้วยเท่านั้น
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีความกล้าอย่างอาสี่ในการไปยุ่งกับอาหารของคุณพ่อคุณแม่
“คุณเป็นสามีฉันจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย? คุณอยู่ข้างใครกันแน่?” สะใภ้รองสาดคำพูดใส่
“นั่นพ่อแม่ผมนะ คุณคิดว่าผมอยู่ข้างใครล่ะ?” พี่ชายรองเอ่ยเสียงเรียบ
แล้วทั้งคู่ก็จบลงด้วยการทะเลาะกัน
หลินชิงเหอไม่นำพาเรื่องใด ๆ ในฝั่งของหล่อน เธอให้โจวชิงไป๋ส่งอาหารกลับมาที่บ้านแล้วมอบพุทราจีนถุงหนึ่งให้โจวต้ง
“อาสะใภ้ครับ โปรดเก็บไว้เถอะครับ” โจวต้งส่ายหน้า
“ทำไมอาต้องเก็บไว้ด้วยล่ะ? ของนี่ไม่ใช่ของนายสักหน่อย และพุทราจีนถุงนี้ก็ซื้อมาด้วยเงินไม่เท่าไหร่เอง เอากลับไปบ้านให้เสี่ยวซีซะ บอกให้เธอกินทีละเล็กละน้อยทุกวัน มันดีต่อร่างกายของเธอ ซึ่งผู้ชายอย่างนายไม่เข้าใจหรอก ให้เธอดูแลสุขภาพมากขึ้นอีกนิด” หลินชิงเหอยัดมันลงในมือเขาและเอ่ยกำชับ
โจวต้งพยักหน้า จากนั้นก็ลากรถเข็นกลับไป
หลินชิงเหอเริ่มสั่งให้โจวชิงไป๋เก็บสะสมอาหาร เธอคัดแยกธัญพืชที่ต้องการเอาไปขายไว้กับตัวและเก็บส่วนที่เหลือไว้ในโรงเก็บฟืนในสวนหลังบ้าน
ครั้งนี้เธอขนอาหารกลับมาเป็นภูเขาเลากา เนื่องจากการเก็บเกี่ยวปีนี้อุดมสมบูรณ์ดีและได้รับส่วนแบ่งอาหารเป็นจำนวนมาก เธอจึงซื้ออาหารกลับมาโดยไม่ลังเล
ตราบใดที่เธอไม่ทำเกินกว่าเหตุ ทางฝ่ายผลิตก็ไม่กล่าวอะไร ชื่อเสียงในฐานะหญิงมือเติบของเธอได้ฝังรากลึกในใจของทุกคนไปแล้ว
นอกจากนี้ทุกคนก็ไม่ได้ตาบอดมองไม่เห็นว่าเธอเลี้ยงดูสามีและลูกชายทั้งสามอย่างไร เธอจึงขนธัญพืชกลับไปเป็นจำนวนมากกว่าคนอื่นโดยที่ทุกคนไม่มองว่าเป็นเรื่องแปลก
ต่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดไป พวกเขาก็รู้สึกว่าโจวชิงไป๋ก็ไม่สามารถเก็บเงินได้แม้แต่เหมาเดียวในปีหนึ่ง
แม้ท่านแม่โจวจะรู้สึกว่าเธอซื้ออาหารมามากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ตั้งคำถามเพราะตอนนี้นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องนี้และสะใภ้สี่ก็จะรำคาญหากนางเข้าไปจู้จี้ แค่มากินอาหารทุกมื้อที่บ้านของเธอในทุกวันก็นับว่าพอแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...