ตอนนี้เธอมีฝ้าย 7 ชั่ง ซึ่งนับว่าเพียงพอแล้ว
ความจริงก็คือเด็ก ๆ เองก็มีผ้านวมหนัก 7 ชั่งอยู่ แต่นับจากปีนี้ไป เจ้าใหญ่กับเจ้ารองจะต้องนอนห้องข้าง ๆ ส่วนเจ้าสามยังคงมานอนกับเธอและโจวชิงไป๋ได้อยู่
ดังนั้นเด็ก ๆ จึงต้องมีผ้านวมของพวกเขา เลยเป็นที่มาของการทำผ้านวมผืนใหม่ให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว
หลังเก็บฝ้ายกับผ้าไว้ในมิติเรียบร้อย หลินชิงเหอก็ออกมาหาคนคุ้นเคยเก่า
คนคุ้นเคยเก่าคนนี้เป็นพนักงานหญิงที่ลาออกจากงานคนที่หลินชิงเหอเคยรู้จักมาก่อน พวกเธอเจอกันในตอนที่ซื้อขายเนื้อ ซึ่งผ้านวมที่เธอเคยให้เป็นของขวัญแต่งงานกับโจวเสี่ยวเม่ยก็มาจากฝีมือของนาง
“สาวน้อย หนูไปซื้อฝ้ายพวกนี้มาจากไหนกันเหรอ? คุณภาพนับว่าดีเลยนะ” หญิงชราเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ในตลาดมืดน่ะค่ะ ถ้าป้าอยากได้ หนูจะให้รหัสนะคะ ที่นั่นคงยังมีเหลืออยู่บ้าง” หลินชิงเหอตอบ
“ตกลงจ้ะ ฉันจะลองไปดูทีหลังนะ” หญิงชราร่างเล็กพยักหน้า
“ป้าใช้ฝ้าย 7 ชั่งพวกนี้ทำผ้านวมได้นะคะ แล้วอีกครึ่งเดือนหนูจะมารับ” หลินชิงเหอบอก
“ไม่ถึงครึ่งเดือนหรอกจ้ะหนู หนูมารับได้ในอีก 7 วันเลย” หญิงชราร่างเล็กเอ่ย
หลินชิงเหอกับนางต่างเป็นคนคุ้นเคยกัน เมื่อหญิงสาวได้ฟังแล้วจึงพยักหน้าและกระซิบถาม “ครั้งหน้าถ้าหนูมา หนูเอาเนื้อมาให้ป้าได้นะคะ ป้าอยากได้เท่าไหร่เหรอคะ?”
“ถ้าหนูมีเนื้อก็เอามาเยอะ ๆ เลยจ้ะ เนื้ออะไรก็ได้” หญิงชราตอบทันควัน
“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอให้สัญญา
ในยุคนี้ผู้คนยังคงซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน ยิ่งกว่านั้นหญิงชราผู้นี้ก็อยู่ในขบวนการซื้อขายนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่านางจะยักยอกของของเธอ เว้นแต่ว่านางไม่อยากทำงานในขบวนการนี้แล้ว
ดูจากผ้านวมของโจวเสี่ยวเม่ยเมื่อคราวที่แล้วเป็นตัวอย่างก็ได้ เรื่องนี้ทำให้หลินชิงเหอยังมีความเชื่อใจนางอยู่บ้าง นางทำงานได้ยอดเยี่ยมทีเดียว
หลังลาหญิงชราแล้ว หลินชิงเหอก็มาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อมาซื้อไหมพรม
เธอตั้งใจจะถักเสื้อกั๊กให้โจวชิงไป๋กับลูกชายทั้งสาม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ เสื้อผ้าฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วยังมีสภาพใหม่อยู่เลย
หลังคิดไตร่ตรองดูแล้ว เธอก็ซื้อไหมพรมเพิ่มเพื่อให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวนำไปถักเสื้อ
หลังซื้อไหมพรมแล้ว เธอก็มุ่งหน้าไปที่ร้านค้าสหกรณ์และซื้อวัสดุเพิ่มเติม จากนั้นก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนักและปั่นจักรยานกลับบ้าน
“เธอไม่ได้ซื้อฝ้ายมาเหรอ?” ท่านแม่โจวถามเมื่อเห็นหญิงสาวกลับมาพร้อมกับถุงไหมพรมโดยที่ไม่มีฝ้ายติดมาเลย
“ฉันซื้อมาแล้วล่ะค่ะ แต่เอาไปให้คน ๆ หนึ่งทำผ้านวมให้ คาดว่าน่าจะได้อีกสักห้าถึงเจ็ดวันน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
“จะเชื่อใจได้ไหมเนี่ย?” ท่านแม่โจวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา
“เชื่อได้ค่ะคุณแม่ ผ้านวมที่ฉันให้เสี่ยวเม่ยไปเมื่อครั้งที่แล้วก็เป็นฝีมือของคน ๆ นี้แหละค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยให้นางวางใจ
จากนั้นเธอก็แบ่งไหมพรมบางส่วนออกมาจากถุงนั้นในปริมาณที่เพียงพอต่อการถักเป็นเสื้อกันหนาวสองตัว ก่อนเอ่ยกับท่านแม่โจว “ไหมพรมนี้ให้คุณแม่กับคุณพ่อนะคะ ฉันต้องถักเสื้อให้ชิงไป๋กับเด็ก ๆ ก็เลยจะค่อนข้างยุ่ง คุณแม่รับไปถักเสื้อใส่ที่บ้านนะคะ”
“ทำผ้านวมทั้งทีแต่กลับซื้อไหมพรมกลับมาอีกเนี่ยนะ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยความกระดาก
“รับกลับไปเถอะค่ะ” หลินชิงเหอไม่แสดงท่าทีหวงของแต่อย่างใด เธอวางถุงลงและเริ่มเตรียมตัวทำอาหารกลางวัน
อาหารกลางวันค่อนข้างเรียบง่าย ในตอนเช้าเธอหยิบเห็ดหูหนูมาแช่น้ำเตรียมไว้แล้วหนึ่งกำมือก่อนจะออกจากบ้าน และตอนนี้มันก็พองตัวพร้อมทาน
เห็ดหูหนูเย็นหนึ่งจาน มะเขือยาวกับหมูสับหนึ่งจาน ตบท้ายด้วยซุปไข่คนมะเขือเทศอีกจาน โดยอาหารจานหลักเป็นหมั่นโถวขาว
แม้อาหารจะดูเรียบง่าย แต่หลินชิงเหอใส่น้ำมันไม่น้อย ไม่ว่ามันจะเป็นเห็ดหูหนูเย็นหรือมะเขือยาวผัดหมูสับ มันก็ทำให้อาหารเหล่านั้นมีกลิ่นหอมอย่างมาก
ช่างน่ากินเหลือเกิน
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็เริ่มสั่งให้เด็ก ๆ ช่วยกันฟั่นไหมพรมบางก้อน
“แม่ครับ ครั้งนี้แม่ไม่เห็นซื้ออะไรกลับมาให้กินเลย” เด็กชายทั้งหลายส่งเสียงบ่น
“ครั้งนี้แม่เอาฝ้ากลับมาให้คุณปู่คุณย่าตั้งเยอะแยะเพื่อทำเป็นผ้านวมให้พวกท่าน แถมเรายังต้องถักเสื้อกั๊กให้ลูก ๆ แต่ละคนอีก แล้วมันก็ใช้เงินไปเยอะมาก” หลินชิงเหออธิบาย
มันใช้เงินเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดมืด ซึ่งราคาสินค้าช่างแพงหูฉี่ขูดเลือดขูดเนื้อเลยทีเดียว
“ผมได้ยินคุณครูบอกว่าการที่พ่อของผมเป็นทหารจะทำให้เขามีความน่าเชื่อถือมาก และครอบครัวของเราก็เป็นครอบครัวชาวนาระดับกลางค่อนไปทางต่ำ นับว่าเข้าเงื่อนไขพอดีเลยครับ ถ้าผมเรียนได้คะแนนดี ผมจะได้รับการแนะนำให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารได้!” เจ้าใหญ่มองแม่ของเขาด้วยสายตาจริงจังขณะอธิบายให้ฟัง
“ก็ต้องเป็นไปได้อยู่แล้วจ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
เธอคงจะไม่ผ่านการคัดเลือก แต่เจ้าใหญ่ต้องผ่านแน่นอน ต่อให้เธอจะเป็นแม่แบบนี้ แต่เขาก็ยังมีพ่อของเขาที่เข้าเงื่อนไขอยู่
ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นคนธรรมดาทั่วไป เธอไม่ได้ขโมยหรือปล้นทรัพย์ แค่ไม่รู้จักใช้ชีวิตเท่านั้นเอง ลูกชายของเธอจะต้องไม่ได้รับผลกระทบเพราะเธอ
แต่หญิงสาวก็ยังให้กำลังใจเจ้าใหญ่ ตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? เมื่อเขาโตขึ้น มันก็จะถึงช่วงฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี
ในตอนนั้นเขาก็จะได้เข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกับเธอ เขาจะยังอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารอยู่อีกเหรอ?
แต่เขายังต้องการกำลังใจอยู่ดี
“เจ้าใหญ่ งั้นลูกต้องทำงานให้หนัก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวของเราจะพึ่งพาพ่อของลูกเพียงคนเดียว ลูกต้องโตขึ้นและนี่ก็ถึงเวลาที่ลูกจะสนับสนุนครอบครัวของลูกแล้ว” หลินชิงเหอกระตุ้น
เจ้าใหญ่ยืดอก “แม่วางใจได้เลย ผมจะนำเกียรติยศศักดิ์ศรีมาให้แม่กับหมู่บ้านเอง!”
ใช่แล้วล่ะ ถ้ามีใครสอบผ่านได้ มันก็จะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่หมู่บ้านและฝ่ายผลิตเช่นกัน
“แม่รู้สึกมีความสุขมากจ้ะที่เห็นลูกมีจิตสำนึกแบบนี้” หลินชิงเหอพยักหน้า “ลูกต้องทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะไปเรียนได้นะ”
การเรียนนั้นใช้ความมานะพากเพียร แต่การทำงานก็ควรจะสำเร็จลุล่วงเหมือนกัน เธอจะปล่อยให้ลูกชายของเธออุทิศตัวให้กับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ้าใหญ่โตขึ้นแล้วล่ะค่ะ ปรบมือให้ความมุมานะของน้องนะคะ เด็กเจ็ดขวบย่างแปดขวบแต่มีความคิดแบบนี้ถือว่าสุดยอดเลยค่ะ
ไหหม่า (海馬)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...