เทียบกับพวกพี่ชายใหญ่ที่เหนื่อยล้าอิดโรยเสียจนร่างแทบแหลก สภาพของโจวชิงไป๋นับว่ายังดีกว่ามาก
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
ในตอนเช้าคนอื่น ๆ ได้ทานหมั่นโถวเย็นชืดเคียงกับผักดอง ขณะที่หลินชิงเหอตื่นแต่เช้าตรู่มานึ่งหมั่นโถวร้อน ๆ หุงโจ๊กหรือโจ๊กข้าวฟ่าง จากนั้นเธอก็ทำไข่คนแตงกวา
อาหารข้างต้นนี้คืออาหารที่ทำตอนไม่มีอะไรจะกิน แต่โดยปกติจะมีอาหารจานเนื้ออยู่หนึ่งจานเสมอ
อย่างเช่นหมูตุ๋นกับถั่วแขก หรือไม่ก็หมูผัดพริกหยวกเขียว
ทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน เขาจะได้กินจนอิ่ม
ตอนกลางวันก็เหมือนกัน หลินชิงเหอจะส่งข้าวมาให้เมื่อถึงเวลา และมอบกล่องอาหารกลางวันที่มีถั่วเขียวต้มน้ำตาลให้ก่อนจะกลับบ้านไป
ซึ่งถั่วเขียวต้มน้ำตาลนี้เธอให้พวกเขาได้ทานตอนที่ได้พักระหว่างงาน
เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน ก็มีของบางอย่างที่อร่อยยิ่งกว่าคอยท่าพวกเขาอยู่
อาหารจานเนื้อสองจาน อาหารจานผักสองจาน และแกงจืดหนึ่งอย่าง
หลังกินเสร็จแล้วก็ยังมีถั่วเขียวต้มน้ำตาลไว้ดื่มต่อในตอนเย็น แม้แต่ละคนจะได้กินกันคนละถ้วย แต่มันก็ยังคลายร้อนได้อยู่บ้าง การดื่มถั่วเขียวต้มน้ำตาลหวาน ๆ หนึ่งชามมันให้ความรู้สึกราวกับว่าความร้อนจากตอนบ่ายอันแสนวุ่นวายได้คลายลงอย่างมากทีเดียว
หลังได้อาบน้ำและเข้านอน กำลังใจของเขาก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม
ความรับผิดชอบหลักของหลินชิงเหอคือการดูแลโจวชิงไป๋ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ถือเป็นเรื่องรอง
แต่คนที่ร่วมวงด้วยอย่างท่านพ่อโจว เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามก็ได้รับโชคไปเหมือนกัน ปกติแล้วเมื่อไหร่ที่โจวชิงไป๋ได้รับส่วนแบ่ง พวกเขาก็ไม่ขาดแคลนด้วยเหมือนกัน
แม้แต่เจ้าใหญ่ยังให้ความเห็นว่าพวกเขาต่างเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยที่คนโปรดของแม่ก็คือพ่อของพวกเขา
เมื่อสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อน หลินชิงเหอก็เข้าไปในอำเภอเพื่อขายของที่เธอสะสมไว้ระยะหนึ่งในส่วนที่เหลืออยู่ ระหว่างทางเธอก็ซื้อแตงโมลูกใหญ่มาด้วย
แตงโมลูกยักษ์นี้ได้รับความนิยมไปอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งครอบครัวต่างกัดกินด้วยความสุขสำราญใจ
นับตั้งแต่มาอยู่ร่วมกับลูกชายและลูกสะใภ้ อาหารการกินของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็ดีขึ้นแบบพุ่งทะยาน
เมื่อท่านพ่อโจวเข้านอนในคืนนั้น เขาก็เอ่ยกับผู้เป็นภรรยา “พูดถึงการใช้เงินของสะใภ้สี่แล้ว ทำไมผมรู้สึกว่าหล่อนไม่ได้ขาดเงินในการจับจ่ายใช้สอยเลยล่ะ?”
แน่นอนว่าท่านพ่อโจวไม่ได้คิดจะดูถูกสะใภ้สี่ว่าไม่รู้จักใช้ชีวิต หากสะใภ้สี่ไม่รู้จักการใช้ชีวิตจริง ๆ แล้ว จะมีใครบนโลกนี้อีกที่รู้จักการใช้ชีวิต?
พวกเขาแค่สงสัยเท่านั้น
อาสี่กลับมาอยู่บ้านตั้งหลายปีแต่สะใภ้สี่ยังคงทำอะไรตามใจตัวเองงั้นหรือ?
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน พรุ่งนี้ฉันถามหล่อนดีไหม?” ท่านแม่โจวตอบ
“สะใภ้สี่จะไม่พอใจหรือเปล่า?” ท่านพ่อโจวแย้ง
“จะไม่พอใจอะไรล่ะ? ไม่ใช่ว่าฉันจะขอเงินหล่อนสักหน่อย แค่อยากรู้เท่านั้นเอง สะใภ้สี่คงไม่คิดมากหรอก” ท่านแม่โจวให้ความมั่นใจ
ท่านพ่อโจวไม่ได้พูดอะไรต่อ
แล้ววันต่อมาท่านแม่โจวก็ถามเรื่องนี้กับหลินชิงเหอ
“ชิงไป๋นำเงินกลับมาบ้านเยอะแยะเลยค่ะหลังจากที่เขาออกมาจากกองทัพแล้ว และเงินส่วนนั้นยังไม่ได้ถูกใช้เลย คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ” หลินชิงเหอให้คำตอบ
เห็นไหมล่ะ! ว่าแล้วเชียว พวกเขาต้องถามเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วในตอนที่กินข้าวด้วยกัน
“งั้นฉันก็สบายใจแล้ว” ท่านแม่โจวพยักหน้าเมื่อได้ยินดังนี้
ไม่ต้องถามเลยว่าเงินก้อนนั้นมันมากขนาดไหน
เดิมทีหลินชิงเหออยากจะบอกนางว่ามันมีทั้งหมด 1,500 หยวน แต่ในเมื่อนางไม่ได้ถามก็ไม่เป็นไร
จริง ๆ แล้วตอนนี้เธอมีเงินในกระเป๋าอยู่ 3,500 หยวน
เธอเก็บมันทีละเล็กละน้อย แต่เป็นเพราะเธอใช้จ่ายออกไปมากด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงเก็บเงินได้ครบ 1,000 หยวน
ใช่แล้ว มันยังมีอีก 100 หยวนที่เธอให้น้องชายยืมไป
เมื่อโจวชิงไป๋กลับมาถึง หลินชิงเหอก็ได้ถามเขา “คุณบอกฉันไม่ใช่เหรอคะว่าจะมีโรงนมจะมาตั้งในปีนี้? ทำไมฉันถึงยังไม่ได้ข่าวเลยล่ะคะ?”
เธอคิดว่ามันน่าจะมีโรงนมเรียบร้อยตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้มันเข้าสู่ฤดูร้อนอันแผดเผาแล้ว
“มีเรื่องบางอย่างติดขัดอยู่ แต่ก็น่าจะมาตั้งในอีกไม่กี่วันแล้วล่ะ” โจวชิงไป๋บอก
โจวชิงไป๋พูดถูก หลังเก็บเกี่ยวฤดูร้อนผ่านพ้นไป โรงนมก็มาตั้งพอดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...