“ไปล้างมือก่อนมากินข้าวเดี๋ยวนี้!”
หลินชิงเหอไล่สามพี่น้องออกจากบริเวณโต๊ะอาหาร
เด็กชายทั้งสามตรงไปล้างมือด้วยอาการร่าเริง
แน่นอนว่าโจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวก็ล้างมือเหมือนกัน หากพวกเขาอยากกินข้าวที่โต๊ะอาหาร พวกเขาจะต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนจะมานั่งกินได้
หลังล้างมือเสร็จ ทั้งครอบครัวก็ล้อมวงกันกินข้าว
ซูเฉิงน้อยมีอายุได้หนึ่งขวบแล้วและกินอะไรได้มากขึ้น อาหารของเขาเป็นหมั่นโถวที่แช่ในน้ำแกงจนชุ่ม ซึ่งเขาก็เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย
แถมเขายังกินแตงกวา ไข่ และปลาไหลได้อีกด้วย
เนื่องจากปลาไหลมีก้างเยอะ เขาจึงไม่ได้กิน แค่ให้เขากินน้ำแกงนิดหน่อยก็ทำให้เขาอิ่มจนจะกลิ้งได้
อย่างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กสมัยนี้แล้ว เด็กอย่างซูเฉิงน้อยถือว่าอ้วนกว่าเด็กพวกนั้นอีก
เขาดื่มนมและกินอาหารดี ๆ สามมื้อต่อวัน แถมยังมีขนมด้วย ซึ่งในบางครั้งหลินชิงเหอจะทำเค้กข้าวนึ่ง และไม่ลืมที่จะแบ่งส่วนหนึ่งให้เด็กคนนี้
ซูต้าหลินพาโจวเสี่ยวเม่ยกลับมาเยี่ยมทุกสัปดาห์ เมื่อเขาเห็นว่าลูกชายอยู่ดีกินดีขนาดไหน เขาก็รู้สึกปิติยินดีอย่างใหญ่หลวง
เห็นเด็กคนนี้อยู่ดีกินดีแล้ว ก็บอกได้จากสภาพร่างกายของเขาว่าหลินชิงเหอที่เป็นป้าสะใภ้สี่ไม่ได้ละเลยในการเลี้ยงดูเขา
และคนส่วนมากก็ไม่มีทางเลี้ยงดูเด็ก ๆ ได้อย่างเธอ
แม้แต่ท่านแม่โจวยังรู้สึกตื้นตันใจ สะใภ้สี่ช่างใจดีต่อหลานชายตัวน้อยคนนี้จริง ๆ
เพราะในความคิดของท่านแม่โจว เธอก็ไม่ต่างจากแม่แท้ ๆ เมื่อไหร่ที่เธอทำเค้กข้าวนึ่ง ไข่ตุ๋น หรืออะไรสักอย่างให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ มันก็มักจะมีส่วนแบ่งสำหรับซูเฉิงน้อยอยู่เสมอ แล้วเขาจะไม่ตุ้ยนุ้ยแบบนี้ได้อย่างไร?
ซูต้าหลินรู้เรื่องนี้ดี ทุกครั้งที่เขามา เขาก็มักจะเอาไข่มาให้ครึ่งตะกร้ากับลูกกวาดให้เจ้าใหญ่และน้อง ๆ การที่เขาซื้อมาทำให้หลินชิงเหอไม่ต้องซื้อของพวกนี้มาอีก
ซูต้าหลินรู้สึกปิติยินดีนัก
ชายคนนี้มีความสุขอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใดซูเฉิงน้อยก็ติดเขามาก แม้เด็กชายจะได้เห็นเขาแค่วันเดียวจากตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ก็เหมือนกับเด็กน้อยจะรู้ว่าเขาคือพ่อผู้ให้กำเนิด
ไม่มีความแปลกแยกต่อกันแม้แต่นิดเดียว
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์และวันหยุด ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยจึงกลับมาพร้อมกับของหลายอย่าง ซึ่งของพวกนี้พวกเขาซื้อให้กับทางบ้านสะใภ้สี่ นาน ๆ ทีพวกเขาถึงจะแบ่งลูกกวาดส่วนหนึ่งไปให้หลานชายและหลานสาวในบ้านตระกูลโจว
และตอนนี้เองท่านแม่โจวก็ได้คุยกับโจวเสี่ยวเม่ยกันสองคน “ตอนนี้เฉิงเฉิงก็ตัวใหญ่เท่านี้แล้ว เมื่อไหร่แกกับต้าหลินจะมีอีกคนล่ะ?”
โจวเสี่ยวเม่ยชะงักไป “แม่คะ แม่ไม่เห็นเหรอว่าแค่ต้าหลินกับหนูมีลูกคนนี้ พวกเรายังเลี้ยงเองไม่ได้เลย? แม่ยังจะให้หนูมีเพิ่มอีกเหรอคะ?”
“แกจะไม่มีลูกเพิ่มแล้วเหรอ?” ท่านแม่โจวได้ฟังก็ตกใจยิ่งกว่าลูกสาวของนางเสียอีก
ในยุคนี้มีใครบ้างที่มีลูกแค่คนเดียว? ถ้ามีลูกแค่คนเดียวล่ะก็ จะไม่มีใครช่วยต่อสู้ให้หากว่าเด็กคนนั้นถูกรังแกนะรู้ไหม?
“หนูไม่อยากมีลูกอีกแล้วค่ะ เฉิงเฉิงไม่ใช่ลูกชายเหรอคะ? มีแค่คนนี้ก็พอแล้ว” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
หล่อนต้องไปทำงานเหมือนกับซูต้าหลิน ส่วนครอบครัวทางแม่ก็ดูแลลูกของหล่อนให้ได้แค่นิดหน่อย ถ้าหล่อนมีลูกเพิ่มอีก แล้วครอบครัวทางแม่ของหล่อนจะจัดการไหวเหรอ?
“เด็กโง่ แกไปเอาความคิดนี้มาจากไหน? มีเพิ่มอีกสักคนดีกว่านะ คิดดูสิ ถ้าพ่อแกกับฉันมีแค่พี่ชายรองของแกแล้วเขาก็แต่งงานกับสะใภ้อย่างพี่สะใภ้รองของแก พ่อแกกับฉันคงได้กินดินตอนแก่เฒ่ากันแน่” ท่านแม่โจวเอ่ยเย็นชา
อย่าคิดว่านางกับสามีชราไม่ว่าอะไร พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายหรือลูกสะใภ้คนไหนกตัญญูต่อพวกเขาหรือไม่
ความรู้สึกของท่านแม่โจวต่อสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามนับว่ายังดีอยู่ ส่วนหลินชิงเหอนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ย สะใภ้สี่นับว่าเป็นสะใภ้ที่ดีทีเดียว เว้นแต่นิสัยในบางเรื่องของเธอ
มีแค่สะใภ้รองที่ท่านแม่โจวไม่มีความรู้สึกดี ๆ อะไรกับหล่อนเลย
โชคดีที่พวกเขามีลูกชายอีกสามคน ไม่อย่างนั้นแล้วสองสามีภรรยาชราอย่างพวกเขาจะมีอะไรกินในตอนที่แก่เฒ่าเกินกว่าจะทำอะไรได้ไหม?
“งั้นทำไมแม่ไม่บอกให้พี่สะใภ้สี่มีลูกอีกคนล่ะคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
หลินชิงเหอที่มองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับเงียบอึ้งไป เธอไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ก็เลยตอบกลับ “น้องสาว ลองมีลูกชายสามคนเหมือนพี่ก่อนแล้วค่อยพูดนะ”
โจวเสี่ยวเม่ยได้ยินก็สะอึก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...