หลินชิงเหอไม่ได้ล้อเล่นที่บอกว่าเธอกลัวโจวชิงไป๋จะไม่ไปทำงาน เธอกลัวจริง ๆ นะ
ชายคนนี้เคยถูกฝึกอย่างเข้มงวดกวดขันในกองทัพมา กำลังกายของเขาย่อมไม่ธรรมดา
หลังจากที่เขากลับมา เขาก็ทำงานใช้แรงงานโดยไม่หยุด
เหนือกว่านั้น หลินชิงเหอยังกลัวว่าเขาจะสูญเสียกำลังวังชาและจบลงด้วยการบาดเจ็บถาวร เธอจึงพยายามอย่างเป็นที่สุดในการทำอาหารดี ๆ มาบำรุงเขา
นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าต่อให้เขาทำงานมาตลอดทั้งวัน เขาก็ยังสบายดีและแข็งแรงมาก
ในระหว่างการเก็บตัวช่วงฤดูหนาว มันไม่มีทางใดที่เขาจะได้ปลดปล่อยพลังงานในร่างกาย แล้วใครจะเป็นคนที่เขาเล็งไว้ล่ะ?
หลินชิงเหอเบื่อที่จะรับศึกหนักจริง ๆ
ทุกเช้าที่เธอตื่นมาด้วยขาทั้งสองและเอวปวดระบม เธอก็หมายมั่นอยู่ในใจว่าจะให้เขากินต้าปิ่ง หรือขนมปังไม่ฟู และดื่มน้ำเย็น
แต่ทันทีที่อาหารมาตั้งบนโต๊ะ มันก็แสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่ได้ใจดำนัก การที่เธอนำของดีอะไรก็แล้วแต่มาไว้บนโต๊ะ ทำให้ชายคนนี้รู้สึกได้คืบจะเอาศอก
หลังปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวไปแล้ว มันก็เป็นการแบ่งเนื้อ
ในตอนที่มีการแบ่งเนื้อกันนั้น โจวชิงไป๋ก็ออกไปเก็บฟืนเหมือนกับปีก่อน ๆ
หลินชิงเหอไม่ได้พูดเล่นเกี่ยวกับฤดูหนาวนี้เลย เธอรู้สึกหนาวมากจริง ๆ ในเดือนนี้เธอถึงกับต้องหยิบโค้ทบุฝ้ายขึ้นมาใส่
เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามเองก็ใส่เสื้อไหมพรมเหมือนกัน
แล้วหลินชิงเหอก็ถามเรื่องนี้กับท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว “คุณพ่อคุณแม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ พอใส่ไหมคะ? ถ้าไม่พอก็บอกฉันนะคะ”
“พออยู่ล่ะ คราวที่แล้วเธอเอาไหมพรมมาให้นี่ คุณพ่อกับฉันมีคนละหนึ่งตัวแล้ว มันอุ่นมากเลย” ท่านแม่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม
ต้องบอกว่าถึงแม้สะใภ้สี่จะเป็นนักจ่ายเงิน แต่เธอก็ดูแลพวกเขาดีมาก
ไหมพรมชั่งหนึ่งราคาเท่าไหร่ล่ะ? มันมากกว่า 20 หยวนเชียวนะ
มันแพงมากจนน่าตกใจ คนส่วนใหญ่ต่างลังเลที่จะซื้อมัน แต่ในปีที่แล้วสะใภ้สี่กลับซื้อมา 3 ชั่งให้พวกเขาได้นำไปถักเป็นเสื้อกันหนาว
แม้มันจะแพง แต่ต้องบอกว่าเสื้อกันหนาวตัวนี้อุ่นสบายมากจริง ๆ ยามได้สวมใส่
“ฉันคิดว่าพวกคุณยังขาดกางเกงไหมพรมอยู่นะคะ” หลินชิงเหอบอก
ฤดูหนาวช่างหนาวทารุณนัก มีทั้งอากาศเย็นยะเยือกกับพื้นที่มีแต่หิมะ ทุกวันจะต้องจุดเตียงเตาถึงสามรอบ ไม่อย่างนั้นมันก็อุ่นไม่พอ
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรจริง ๆ” ท่านแม่โจวปฏิเสธทันควัน
“ทำสองตัวเถอะค่ะคุณแม่ อย่ากังวลไปเลย บ้านฉันยังมีเงินพอจ่ายอยู่ค่ะ” หลินชิงเหอกระซิบ
ท่านแม่โจวคลี่ยิ้ม “แม่รู้ว่าเธอกตัญญู แต่เธอยังต้องเก็บเงินไว้ให้เด็ก ๆ บ้างนะ”
“คุณแม่ยังกังวลเรื่องที่เจ้าใหญ่จะไม่มีเงินแต่งภรรยาในอนาคตอยู่เหรอคะ?” หลินชิงเหอมองนางอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินดังนี้
“เตรียมไว้ก่อนก็ดีน่ะ” ท่านแม่โจวตอบ
“อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่กับคุณพ่อกำลังช่วยเก็บเงินสินสอดให้กับเด็ก ๆ อยู่?” หลินชิงเหอเอ่ย
ท่านแม่โจวทำเพียงยิ้มและไม่พูดอะไร
หลินชิงเหอรู้สึกซาบซึ้งใจแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
สะใภ้รองเอาแต่พูดว่าสองสามีภรรยาชราลำเอียงรักครอบครัวของเธอมากกว่า ซึ่งหลินชิงเหอไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ จนถึงตอนนี้
แต่ตอนนี้มันทำให้หลินชิงเหอที่ไม่ใช่คนรู้สึกอ่อนไหวอะไรนัก รู้สึกซึ้งใจขึ้นมาได้
“คุณแม่คะ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากค่ะที่คุณแม่กับคุณพ่อเป็นห่วงเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ แต่ฉันต้องบอกความจริงกับคุณแม่นะคะว่าฉันวางแผนส่งลูก ๆ เรียนมหาวิทยาลัย พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลกับการแต่งงานในอนาคตของพวกเขาหรอกค่ะ” หลินชิงเหอพูด
“เรื่องนี้ฉันได้ยินคุณพ่อพูดแล้วล่ะ แต่ฉันแค่เป็นห่วงว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันจะยากไหมน่ะสิ” ท่านแม่โจวตอบเสียงเบา
อย่าพูดถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็นข้างนอกบ้านเลย เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องตลกหากคนอื่นมาได้ยินเข้า พวกเขาคงไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้หากสอบไม่ผ่าน
“มีฉันอยู่แล้วทำไมต้องกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านด้วยล่ะคะ? ฉันไม่ได้อวดเก่งนะคะคุณแม่ หากไม่ใช่เพราะฉันมีชื่อเสียงในหมู่บ้านว่าเป็นหญิงขี้เกียจ ฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารได้โดยตรงนะคะ” หลินชิงเหอบอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...