แต่ว่าตามจริงแล้วการสอนหนังสือของหลินชิงเหอมันไม่มีปัญหาอะไรเลย
สมาคมครูในโรงเรียนไม่ได้เชื่อมือเธอในทันทีที่เธอเริ่มงาน พวกเขาให้เธอลองสอนดูโดยที่ครูใหญ่เป็นคนคอยฟังด้านนอกห้องเรียน
ไม่ใช่แค่ครูใหญ่เท่านั้น เฉินซานที่เป็นครูสำรองก็ทำแบบเดียวกัน
ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะมีครูใหญ่หรือเฉินซานเป็นผู้ฟัง ทั้งคู่ก็ไม่พบข้อตำหนิใด ๆ แม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้นคุณภาพการสอนยังดูเหมือนไร้ที่ติอีกด้วย หลินชิงเหอสอนได้อยู่หมัดจริง ๆ
ชั้นเรียนนี้เป็นชั้นเรียนของนักเรียนใหม่หัวก้าวหน้า
ในตอนนี้โรงเรียนมัธยมต้นมีการสอบเข้าเหมือนกัน คนทั้งหมดที่สอบเข้าได้ล้วนมีผลการเรียนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ดังนั้นทั้งโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้จึงมีนักเรียนไม่มากนัก
โรงเรียนมัธยมต้นมีชั้นเรียนแค่ชั้นปีแรกกับชั้นปีที่สอง ส่วนชั้นปีที่สามยังไม่มี
ทั้งชั้นปีแรกและชั้นปีที่สองมี 4 ห้องเรียน
เด็กนักเรียนทั้งหมดนี้ก็คือเด็กในตำบลที่สอบเข้าโรงเรียนได้
ทั้งตำบลมีฝ่ายผลิตอยู่ 19 หน่วย และหนึ่งฝ่ายผลิตก็มีครอบครัวเกือบ 20 ครัวเรือน
แล้วครอบครัวนี้จะนับเป็นครัวเรือนอย่างไรน่ะเหรอ? เมื่อครอบครัวตระกูลโจวยังไม่แยกตัวกัน ทั้งครอบครัวก็จะนับรวบเป็นหนึ่งครอบครัวโดยมีหัวหน้าครอบครัวคือท่านพ่อโจวน่ะสิ
วิธีนับล้วนแตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีคนจำนวนมากอยู่ดี
คนในยุคนี้ไม่ต่างจากเครื่องมือผลิตลูก ทั้งตำบลมีเด็กจำนวนมาก แต่กลับมีจำนวนมากเกินกว่าที่โรงเรียนมัธยมต้นจะรับไหว
ในที่สุดผู้คนก็ไม่ได้สนใจกับการศึกษามากนัก
ในฐานะคุณครู หลินชิงเหอต้องแบกรับหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถ
เนื้อหาวิชาเรียนแต่ละวิชาจะถูกแยกย่อยและอธิบายให้พวกเขาอย่างละเอียด หากพวกเขาไม่เข้าใจก็สามารถมาถามหลังหมดคาบเรียนได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ อย่างการบอกว่าพวกเขาต้องเรียนอะไรนั้นไม่มี
สภาพแวดล้อมในยุคนี้ยังคงเข้มงวดเล็กน้อย
ในอดีต บรรดาครูทั้งหลายจะถูกวิจารณ์ในเรื่องการใช้ความรุนแรง
แม้หลินชิงเหอจะเป็นคนรากหญ้าที่ได้รับงานนี้ เธอก็ไม่ถูกวิจารณ์เนื่องจากเป็นสมาชิกในครอบครัวทหารเกษียณ
แต่ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ไม่ปฏิบัติต่อนักเรียนเหล่านี้ด้วยความรุนแรง
หลังเลิกชั้นเรียนและตอบคำถามทั้งหมดที่นักเรียนมาถามหลังคาบเรียนแล้ว หน้าที่ของเธอก็เสร็จสมบูรณ์ จากความเป็นนักพูดของเธอ
ทั้งโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้มีครูอยู่ 5 คนรวมถึงตัวเธอและเฉินซานที่มาใหม่ แน่นอนว่านี่ไม่รวมถึงคุณครูใหญ่
ครูใหญ่เองก็ยุ่งมากเหมือนกัน บางครั้งเขาจะต้องประชุมและเข้าไปในเมืองเพื่อฟังรายงานความก้าวหน้า โดยปกติแล้วเขาจะไม่ได้เป็นคนสอน แต่เมื่อคุณครูทั้งหลายไม่ว่างสอน เขาถึงจะมาสอนแทน
หลินชิงเหอเข้ากับเพื่อนร่วมงานของเธอได้ดี ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเว้นระยะจากชายชั่วเฉินซานคนนั้นอยู่
ตอนนี้หญิงสาวขี่จักรยานจากบ้านมาโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เธอขี่จักรยานมาโรงเรียนตอนเช้าแล้วก็ขี่กลับบ้านในตอนกลางวัน จากนั้นก็ออกจากบ้านในตอนบ่ายและกลับบ้านอีกครั้งในตอนเย็น
นี่เป็นตารางการทำงานของเธอโดยคร่าว ๆ ในหนึ่งวัน เธอจึงไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ แต่อย่างใด
เธอยังคงมีหน้าที่กลับไปทำกับข้าวทุกวัน
ท่านแม่โจวเป็นคนช่วยเหลืองานบ้านที่เหลือ ส่วนใหญ่นางมักอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน ยกเว้นว่ามันจะถึงเวลาให้นมซูสวิ่นนางถึงจะอุ้มเขาไปให้สะใภ้สามให้นม
หลินชิงเหอกลับมาจากที่ทำงานในวันนั้นและเริ่มหุงหาอาหาร แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นมา “พรุ่งนี้ฉันไม่ไปทำงานนะคะ ฉันจะเข้าอำเภอไปซื้อน้ำมันถั่วลิสงมาสักหน่อย”
ในมิติของเธอยังมีน้ำมันถั่วลิสงเหลืออยู่ 1 ขวด เธอจำใส่ใจอยู่ว่าจะต้องเก็บสะสมของจากตลาดมืดให้ได้
ไม่ว่ามันจะเป็นไข่ เนื้อ หรือน้ำมัน เธอจะซื้อพวกมันเข้าไปเก็บไว้ในมิติหากเจอว่าพวกมันมีขาย
แม้เธอจะแอบขายเนื้อหมูอยู่ แต่ทุกส่วนที่ขายล้วนเป็นของเหลือ จึงมีเนื้อดี ๆ เหลืออยู่น้อยมาก เพราะโดยทั่วไปแล้วเธอจะเก็บเนื้อส่วนที่ดีไว้ให้ครอบครัวของเธอเอง
“เธอทำงานมาเหนื่อยแล้ว เวลาที่จะพักยังแทบไม่มีเลย” ท่านแม่โจวตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...