ลองมาคิดดูเกี่ยวกับวัตถุดิบที่หลินชิงเหอนำมาจากยุคปัจจุบันแล้ว ก็จะพบว่าไข่ เนื้อหมู กับน้ำมันถั่วลิสงนั้นถูกบริโภคจนหมดเกลี้ยง ต้องซื้อเก็บเข้ามิติใหม่อีกครั้ง
แต่ในมิติกลับมีข้าวและแป้งเหลืออยู่อีกมาก
ในตอนนั้นเธอขนข้าวมาไว้ในมิติ 50 ถุง ยิ่งกว่านั้นแต่ละถุงก็มีน้ำหนักเพียง 20 ชั่ง
แต่เธอไม่ค่อยได้กินข้าวบ่อยนัก ส่วนใหญ่ที่กินกันเป็นหลักจะเป็นแป้งมากกว่า ดังนั้นในตอนนี้มันจึงเหลือข้าวอยู่ 30 ถุง
โดยเฉพาะหลังจากที่โจวชิงไป๋กลับมาอยู่ที่บ้าน เธอก็ไม่กล้าทำเกินกำลังในตอนที่เขาไม่รู้ ต่อให้เขารู้แล้วไม่คิดมากขนาดนั้นก็ตาม เธอจึงไม่ได้หยิบข้าวออกมามากนัก
ในตอนนั้นเธอสั่งซื้อแป้งมา 50 ถุงเหมือนกัน ซึ่งแป้งทั้งหมดโม่มาจากข้าวสาลีคุณภาพดีในยุคปัจจุบัน เป็นแป้งคุณภาพเยี่ยมเลยทีเดียว
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังใช้มันไม่หมด เนื่องจากในบ้านยังมีสำรองอยู่
อีกอย่างในทุก ๆ สองในสิบวันเธอจะทำหมั่นโถวแป้งขาว โดยไม่มีธัญพืชอย่างอื่นผสมเลย
ซึ่งส่วนมากแล้วเธอจะผสมกับแป้งถั่วหรือไม่ก็แป้งข้าวโพดเสมอ
การกินธัญพืชหยาบมากขึ้นถือเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น บางครั้งพวกเขาก็จะกินเกี๊ยวและบะหมี่บ้าง ดังนั้นการบริโภคแป้งจึงถือว่าค่อนข้างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ยังมีแป้งเหลืออีก 10 ถุง
แป้ง 10 ถุงถือว่าไม่มากนัก เพราะแต่ละถุงหนักเพียง 20 ชั่ง
ปีนี้เธอได้ส่วนแบ่งข้าวสาลีมาบางส่วน ซึ่งน้องชายสามตระกูลหลินเองก็ได้มา 30 ชั่ง จึงไม่เป็นปัญหาใหญ่เลยหากทั้งครอบครัวอยากจะทำซาลาเปาไส้หมู
พวกเขาทำซาลาเปาไส้หมูเป็นจำนวนมาก หากกินไม่หมดก็แค่เก็บไว้ในลังถึง อยากกินเมื่อไหร่ก็ค่อยนึ่ง ซึ่งนับว่าสะดวกมากทีเดียว
นับตั้งแต่วันที่มีการแบ่งเนื้อจนถึงวันสิ้นปี ทั้งครอบครัวต่างอิ่มหมีพีมันและอยู่ดีกินดี
ไส้หมู กระเพาะหมู และหัวหมูถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว
เหลือเพียงเนื้อสามชั้น เนื้อแดง และซี่โครงหมูเท่านั้น
และในวันสิ้นปีนี้เอง โจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินก็มาเยี่ยม
ปีนี้ทั้งคู่มาเยี่ยมเยียนบ้านพ่อแม่ในชนบทเหมือนกัน และยังนำส่วนแบ่งอาหารของพวกเขาเองมาด้วย เหนืออื่นใดก็ยังมีไก่ตัวหนึ่ง ไข่ตะกร้าหนึ่ง และปลาถุงหนึ่ง
ครึ่งหนึ่งของไข่และปลาถูกส่งไปให้สะใภ้สาม ส่วนที่เหลือถูกส่งมายังบ้านสะใภ้สี่
ตอนนี้ซูสวิ่นน้อยยังไม่หย่านม แต่ความจุอาหารของเขาไม่น้อยเลย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่สะใภ้สามต้องให้นมเด็กทารกสองคนด้วยตัวคนเดียว
ซูสวิ่นน้อยตัวโตขึ้นแล้ว เขาสามารถกินข้าวบดได้แล้วด้วย
“พี่สะใภ้สี่คะ ปีนี้พี่จะต้องเตรียมตัวไว้ด้วยนะคะ คือว่าพี่สาวรองของฉันอยากจะยืมเงินน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอกพี่สะใภ้สี่ของหล่อนเมื่ออยู่กันสองต่อสอง
หลินชิงเหอชะงักไป “ยืมเงินอะไรเหรอ?”
“ครอบครัวพี่สาวรองของฉันทะเลาะกับพวกพี่สะใภ้ใหญ่โตเลยค่ะ แล้วพี่เขยรองก็โดนพี่ชายใหญ่ของเขาฟาดหัวแบะ” โจวเสี่ยวเม่ยอธิบาย
“หา?” หลินชิงเหอถึงกับตกใจ
ตระกูลโจวไม่รู้ข่าวนี้เลย เธอจึงถามโจวเสี่ยวเม่ยว่าไปได้ยินข่าวนี้มาจากไหน
โจวเสี่ยวเม่ยมีท่าทีขัดเขินเล็กน้อยก่อนจะกระซิบ “ตอนที่ฉันไปโรงพยาบาลเพื่อไปซื้อถุงยางอนามัย ฉันก็เจอพี่สาวรองพอดี ฉันรู้เรื่องก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ”
ดังนั้นพี่สาวรองก็เลยบอกหล่อนเกี่ยวกับแผนที่พวกเขาจะย้ายบ้าน แต่พวกเขามีเงินเก็บอยู่ไม่พอ ก็เลยถามว่ามีใครพอให้หล่อนหยิบยืมได้หรือไม่?
โจวเสี่ยวเม่ยจึงบอกหล่อนไปว่าให้ยืมได้ 30 หยวน
เงิน 30 หยวนจะไปพอได้อย่างไร? พี่สาวรองมีลูกทั้งหมด 5 คน และแต่ละคนก็ไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ต่างจากน้องชายสามตระกูลหลินที่แม้เขาจะมีลูก 4 คน แต่พวกเขาก็ยังเล็กกันอยู่ จึงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านที่มีพื้นที่ราว 10 กว่าตารางเมตรได้
“เดี๋ยวรอดูแล้วกันว่าตอนนั้นหล่อนยังขาดเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ แล้วฉันค่อยให้หล่อนยืมส่วนหนึ่ง” หลินชิงเหอไม่ได้กล่าวอะไรมากนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...