ทันทีที่โจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินกลับไปแล้ว หลินชิงเหอก็บอกเรื่องนี้กับท่านแม่โจว “สองคนนั้นรักใคร่กลมเกลียวกันดีจริง ๆ นะคะ”
“แม้ต้าหลินจะติดอ่างเล็กน้อย แต่การปฏิบัติต่อเสี่ยวเม่ยของเขานั้นนับว่ายอดเยี่ยมเลยล่ะ” ท่านแม่โจวพยักหน้า
ตอนนี้ท่านแม่โจวยอมรับความจริงที่ว่าลูกเขยคนเล็กติดอ่างได้แล้ว
ชายที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเหล้า และสามารถดูแลภรรยาและลูก ๆ ได้ถือเป็นผู้ชายที่ดี
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่าง
อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้การที่ลูกสาวคนเล็กในบรรดาลูกสาวสามคนได้แต่งงานก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยมแล้ว
“จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเธอนะ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางได้ยินเรื่องเกณฑ์การเลือกสามีมาจากลูกสาวคนเล็ก เรื่องที่ว่าเขาจะต้องไม่มีพ่อแม่ และมีบ้านมีรถพร้อม
คำพูดเหล่านั้นอาจฟังดูขวานผ่าซาก แต่เมื่อนางลองมาคิดดูแล้ว มันไม่ใช่ว่าควรจะเป็นเช่นนี้หรือ?
มันเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวเดี่ยวจะต่อสู้กับคนอื่น แต่ตราบใดที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กันได้ มันก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
เหมือนไฉ่ปาเม่ยที่แต่งงานกับโจวต้ง
วิถีชีวิตของหล่อนคล้ายกับเสี่ยวเม่ยของนาง ทันทีที่หล่อนแต่งเข้าตระกูลฝ่ายชาย หล่อนก็มีกรรมสิทธิ์ทุกอย่าง แถมยังไม่มีแม่สามีที่คอยกดหัวหล่อนอีกด้วย มันนับว่าดีแค่ไหนกันล่ะ?
หลินชิงเหอได้ฟังแล้วก็ไม่รับความดีความชอบ “เรื่องนี้ฉันเกี่ยวอะไรเหรอคะ? ทั้งสองคนถูกลิขิตมาให้เจอกันอยู่แล้ว บางทีโชคชะตาก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม
“คุณแม่คะ คุณแม่ได้ดูฝั่งของพี่สาวรองบ้างไหมคะ? ฉันไม่คิดว่าครอบครัวสามีของหล่อนจะเข้ากันได้ง่าย ๆ หากมีการล้ำเส้นกัน ครอบครัวฝั่งแม่คงไม่อาจอยู่เงียบ ๆ ได้นะคะ” หลินชิงเหอถาม
เธอเอ่ยด้วยความมั่นใจและมีพลังอำนาจ
ตอนนี้ท่านแม่โจวรู้สึกว่าสะใภ้สี่จะดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอดูยิ่งใหญ่ทรงพลังมากกว่าสะใภ้คนอื่น ๆ เสียจริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ตอบว่า “หล่อนแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ตราบใดที่มันยังไม่ถึงจุดนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปก้าวก่าย ยิ่งกว่านั้นหล่อนเองก็ไม่เคยพูดถึงมันด้วย”
แม้ลูกสาวจะแต่งงานออกไปแล้ว แต่รากฐานของเธอก็ยังเป็นครอบครัวฝั่งแม่อยู่ หากเธอถูกครอบครัวสามีรังแก ครอบครัวของเธอก็จะไม่ปล่อยให้เธอถูกรังแกฝ่ายเดียวแน่ตราบใดที่ครอบครัวฝั่งแม่ยังเห็นแก่เธออยู่
เมื่อมันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว มันก็จะมีครั้งต่อไป
ปีที่แล้วที่พี่สาวรองถูกทุบตีรุนแรง หล่อนก็ไม่เคยกลับมาเล่าเรื่องนี้ พี่เขยรองก็ไม่พูดเรื่องนี้เช่นกัน แล้วทางครอบครัวฝั่งแม่จะเข้ามายุ่งได้อย่างไร?
หากหล่อนกลับมาแล้วบ่นให้ฟัง มันก็เป็นเพียงการระบายโทสะของหล่อน หล่อนไม่ได้บอกพวกเขาในเรื่องนี้แต่ครอบครัวของหล่อนกลับเข้าไปยุ่ง แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไรล่ะ?
ท่านแม่โจวจึงไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็หาเวลาไปเยี่ยม
นางพาซูสวิ่นน้อยไปด้วย พร้อมกับของติดไม้ติดมือไม่มากนัก แค่ถั่วลิสง 2 ชั่งเป็นสินน้ำใจ
เมื่อมาถึงบ้านของลูกสาวรอง นางก็ได้เห็นบ้านก่ออิฐมุงกระเบื้องของหล่อนที่สร้างไว้อย่างดีทีเดียว
พี่สาวรองกับพี่เขยรองไม่อยู่บ้าน มีเพียงลูกสาวคนเล็กกับลูกชายคนเล็กที่อยู่บ้าน
แม้ทั้งคู่ยังเด็ก แต่ทั้งคู่ก็จำท่านแม่โจวในฐานะคุณยายได้
พวกเขาต้อนรับคุณยายเข้ามาในบ้าน โดยที่ลูกชายคนเล็กของพี่สาวรองรีบวิ่งไปเรียกพี่สาวรองมา
พี่สาวรองกำลังง่วนอยู่กับการตัดผักขม แต่เมื่อได้ยินว่าแม่มาหา หล่อนก็ทิ้งงานทุกอย่างและรีบกลับบ้าน
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่มาดูว่าแกเป็นยังไงบ้างเท่านั้นเอง” ท่านแม่โจวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “บ้านหลังนี้สร้างดีอยู่นะ”
“ต้องขอบคุณน้องชายทั้งหลายที่ช่วยสนับสนุนและให้ฉันยืมเงินก้อนนี้น่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นบ้านหลังนี้คงสร้างไม่ได้” พี่สาวรองเอ่ยขณะรินน้ำให้แม่ดื่ม
“แล้วทางนั้นว่ายังไงบ้างล่ะ?” ระหว่างแม่กับลูกสาวนั้นไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังกัน ท่านแม่โจวเลยถามลูกสาวนางไปแบบนี้
“พอเห็นว่าน้องชายสี่ให้อิฐและกระเบื้องกับฉันมากมายขนาดนี้ ผู้เฒ่าไร้ยางอายสองคนนั้นก็อยากจะขอแบ่งไปต่อเติมหลังคาด้วยน่ะค่ะ แต่ฉันไม่ได้ให้ไป” พี่สาวรองแค่นเสียง
คนซื่อตรงคนนี้ได้ถูกบีบให้จนมุมแล้ว
ไม่มีใครในหมู่บ้านบอกว่าหล่อนเป็นคนผิดเลย
รู้ไหมว่าหล่อนกับสามีต้องเจออะไรบ้างตอนที่พวกเขาย้ายออกมาพร้อมกับเด็ก 5 คน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...