แม้โจวข่ายลูกชายของเธอชักจะดื้อด้าน แต่ต้องยอมรับว่าวิธีนี้ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพทีเดียว
บรรดานักศึกษาใหม่ต่างรู้กันทั่วแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่รู้ก็จะเกิดความฉงนสนเท่บางอย่างจนต้องค้นหาคำตอบ
เพื่อนของโจวข่ายรู้เรื่องนี้ก็หัวเราะไม่หยุด “นายแน่มาก นายปกป้องแม่นายแบบสู้ตายจริง ๆ แม่นายคงอยากคว้าไม้เรียวฟาดนายแล้วมั้ง”
“นายจะหัวเราะหาอะไร? แม่ฉันจับฉันไม่ได้หรอกน่า” โจวข่ายตอบ
ส่วนเรื่องที่เหลือเขาก็ไม่สนใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังต้องคอยจับตาดูอยู่
ถ้ายังมีใครหน้าไหนหลับหูหลับตาตามจีบแม่หรือเขียนจดหมายรักมาให้แม่ของเขา ก็คอยดูเขาไล่คนพวกนั้นไปแล้วกัน
ทางมหาวิทยาลัยรับรู้การกระทำของโจวข่ายแล้ว บรรดาคณบดีถึงกับหัวเราะงอหงาย เด็กหนุ่มอายุแค่ 14 ปีเท่านั้นแต่ร้อนใจในทันทีที่เห็นแม่ของเขาโดนตามจีบ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะใช้วิธีนี้เป็นการเตือน
หลินชิงเหอรับรู้เรื่องนี้ขณะอยู่ที่หอพัก
เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย แต่เฉินเสวี่ยกลับมีท่าทางเปลี่ยนไป หล่อนถึงกับถามเธอเป็นการส่วนตัว “เธอไม่คิดว่าน่าเสียดายเหรอที่เจอกับผู้ชายแบบนี้ หากดูจากระดับสติปัญญาความรู้ของเธอแล้ว?”
หล่อนรู้เรื่องนี้ อย่าตัดสินว่าหลินชิงเหอดูเหมือนสาวเมืองกรุงที่พูดภาษาอังกฤษคล่องเลย แต่สามีของเธอก็เป็นชาวชนบทเหมือนกัน พึ่งพาอาศัยผืนดินทำมาหากินเหมือนกัน
เฉินเสวี่ยเห็นแล้วว่าหลินชิงเหอเป็นอย่างไร เธอเป็นผู้หญิงสวย ความรู้ค่อนข้างสูง แต่หล่อนกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ
อย่างเช่นตอนปิดภาคการศึกษาฤดูร้อนนี้ หลินชิงเหอไม่ได้คว้าช่วงเวลานี้ในการอยู่ศึกษาเล่าเรียนต่อ แต่เดินทางกลับไปหาสามีที่ชนบทแทน
หล่อนไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ประเด็นหลักคือเธอทำแบบนั้นลงไปจริง ๆ
เธอจะรู้ไหมว่าโอกาสกลับมาศึกษาในตอนนี้มันหายากขนาดไหน? ใครจะรู้ว่ามีโอกาสแบบนี้ในอนาคตอีกหรือไม่ แทนที่จะเรียนแข่งกับเวลา เธอกลับยังมีกะจิตกะใจคิดถึงสามีที่ชนบทอีก
เมื่อทุกอย่างพัฒนาไปในอนาคต จะมีชายหนุ่มผู้โดดเด่นดีพร้อมให้ได้เลือกกี่แบบกัน?
หลินชิงเหอไม่คิดเลยว่าหล่อนจะพูดกับเธอแบบนี้ เธอตอบกลับไปโดยไม่ทันต้องคิด “น่าเสียดายอะไรกัน? ฉันแต่งงานกับเขาก็มีความสุขดีอยู่”
สามีของเธอช่างซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเหลือเกินที่ได้อยู่กับชิงไป๋ของเธอ
สำหรับผู้หญิงแล้ว อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดล่ะ?
บางทีหลินชิงเหออาจคิดว่าหน้าที่การงานคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิง
แต่หญิงสาวได้รับความรักหล่อเลี้ยง ทำให้ตอนนี้เธอมีมุมมองเปลี่ยนไปแล้ว เธอรู้สึกว่าการหาผู้ชายที่เหมาะสมมาเป็นคู่ชีวิตถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเหมือนกัน
เช่นเดียวกับความสำคัญของหน้าที่การงาน จะมีอะไรขาดหายไปไม่ได้เลย
แม้โจวชิงไป๋จะไม่เคยพูดป้อนคำหวาน แต่หลินชิงเหอก็ยังชอบเขา เขาช่างสมบูรณ์แบบไปทุกแง่ส่วน
หลินชิงเหอพอใจมากที่ได้ผู้ชายแบบนี้มาเป็นสามี
อีกเรื่องหนึ่งคือลูกชายทั้งสามคนของเธอกำลังเจริญก้าวหน้า แม้บางครั้งพวกเขาจะก่อกวนจนยากจะรับมือ ทำให้เธอต้องต่อล้อต่อเถียงพวกเขาบ่อยครั้งขึ้น แต่หลินชิงเหอก็ยังมีความสุข
ดังนั้นหลินชิงเหอกับเฉินเสวี่ยจึงไม่ได้ถูกกำหนดให้ไปด้วยกันได้
เฉินเสวี่ยมองว่าหลินชิงเหอเป็นโคดื้อที่ไม่สามารถลากจูงไปได้ หล่อนรู้สึกรำคาญใจที่มองเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ยามพูดถึงชีวิตแต่งงานของเธอขึ้นมา
การแต่งงานกับชายชนบทจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้กินอิ่ม
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีการเสาะแสวงหาอะไรอีก
เฉินเสวี่ยทนมีชีวิตสมรสแบบนี้ไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมหล่อนถึงไม่กลับบ้านในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูหนาว
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรกับเฉินเสวี่ยต่อไป เธอกระตุกยิ้มและเมินหล่อนเสียเมื่อเห็นสีหน้า ‘ทำไมเธอถึงยอมลดตัวลงต่ำขนาดนั้นกันนะ’ ของหล่อน
สิ่งที่หญิงสาวไม่รู้ก็คือเหตุผลที่เฉินเสวี่ยมาคุยกับเธอในครั้งนี้ก็เพราะว่าเธอมีความรู้ภาษาอังกฤษยอดเยี่ยม
ความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษนับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว แม้แต่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ตาม
แต่ไม่คิดเลยว่าก่อนที่พวกเธอจะได้พูดอะไรมากกว่านี้ หล่อนก็เห็นความคิดของหลินชิงเหอและรู้ว่าเธอคงพูดอะไรต่อไม่ได้อีก พวกเธอไม่อาจพัฒนาความสัมพันธ์เป็นเพื่อนคู่คิดได้
ซึ่งหลินชิงเหอไม่สนใจแต่อย่างใด
เธอจะไม่รู้ถึงความหมายในคำพูดของเฉินเสวี่ยได้อย่างไรล่ะ?
ภาคการศึกษาที่แล้วอาจกล่าวได้ว่าเป็นแค่ความสงสัย แต่ภาคการศึกษานี้ไม่ใช่แค่ความสงสัยแม้แต่น้อย
หล่อนมีชายคนรักคนหนึ่งที่มาจากภาควิชาฟิสิกส์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...