คนที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ล้วนมีจมูกไวมาก ในตลาดมืดมีทองคำขาย แต่ราคาค่อนข้างสูงลิ่วเลยทีเดียว
เดิมทีหลินชิงเหออยากจะซื้อทอง แต่เมื่อเห็นว่าราคาของมันไม่ใช่น้อย ๆ เลย เธอจึงไม่ได้ซื้อ
เธอซื้อชิ้นหยกจำนวนหนึ่งไปแทน และเป็นหยกคุณภาพค่อนข้างดีด้วย
“คุณไม่อยากซื้อทองเหรอครับ?” ชายคนขายถาม
“ไม่ค่ะ มันแพงเกินไป คุณเก็บเอาไว้ขายเองเถอะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่ลังเล
“ถ้าเป็นพวกงานเขียนพู่กันกับภาพวาดล่ะครับ? ของพวกนี้เป็นของจากยุคโบราณที่เหลืออยู่ เป็นของเก่าทั้งหมดเลย ในอนาคตจะต้องมีมูลค่าสูงมากแน่ ๆ ครับ” ชายคนขายคะยั้นคะยอ
“คิก ๆ มันมีมูลค่ามากจริงค่ะ ตอนที่ครอบครัวของฉันไม่มีถ่านใช้ในตอนหน้าหนาว ฉันก็ใช้ของสิ่งนี้เผาให้ความอบอุ่นอยู่น่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยท่าทางเฉยเมย
คน ๆ นั้นคงเห็นว่ามันคงไร้ประโยชน์ที่จะเก็บของเหล่านี้ไว้ ทองคำสามารถบอกได้ว่าเป็นของมีค่า แต่ในตอนนี้บรรดางานเขียนพู่กันกับภาพวาดเป็นของไร้ค่าอย่างแท้จริง
“ถ้าคุณต้องการ ผมก็มีทองอยู่บ้างนะครับ คุณรับไปทั้งหมดได้ในราคา 200 หยวนเลย” ชายคนนี้เห็นว่าหลินชิงเหอไม่ต้องการจึงเอ่ยขึ้นมา
“ฉันขอ 100 หยวนค่ะ” หลินชิงเหอต่อรองราคา
สุดท้ายแล้วหลินชิงเหอก็ต่อราคาจนได้ 150 หยวน และได้กำไลทอง 1 วง แหวน 1 วง และงานเขียนพู่กันกับภาพวาด 2 แผ่น เธอไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร แต่ดูเป็นของเก่าโบราณอยู่
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว เธอก็นำของทั้งหมดเก็บเข้าช่องมิติ
จากนั้นเธอจึงเดินออกจากตลาดมืด ส่วนของอื่น ๆ เธอไม่ได้ถามหา เพราะพวกมันต่างมีราคาแพงเกินไป ไม่มีสักอันที่สามารถล่อใจให้ซื้อได้เหมือนกับของในอำเภอ
ตอนนี้หลินชิงเหอไม่มีรายได้เข้ามา มีเพียงเงินเก็บที่อยู่ในมิติเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวก็ไม่รู้สึกกังวลเลย
ถึงปี 1980 เมื่อไหร่ มันก็จะเป็นเวลาหาเงินของเธอ
เธอแค่ต้องเก็บต้นทุนเอาไว้บ้าง ซึ่งตอนนี้เธอยังมีเงินอยู่ในกระเป๋าสตางค์เป็นจำนวนมาก การขายธัญพืชและเนื้อหมูในหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่าจริง ๆ
เมื่อหลินชิงเหอกลับมา โจวข่ายก็ได้ตามหาเธอพร้อมกับนำกล่องอาหารมาให้
ในกล่องนั้นเป็นแกงนกพิราบที่เขานำมาจากบ้านของเพื่อน และขอให้แม่ของเพื่อนตุ๋นให้กิน
เขาเหลือไว้ให้ตัวเองครึ่งหนึ่ง และนำอีกครึ่งหนึ่งมาให้แม่ของเขา
หลินชิงเหอเห็นแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ “งั้นแม่ไม่เกรงใจแล้วนะ”
จากนั้นเธอก็ดื่มน้ำแกงนกพิราบ ส่วนเนื้อนกพิราบนั้นเหลือไว้ให้ลูกชายคนโตกิน เพราะเธอไม่ค่อยชอบกินมากนัก
“แม่ผอมเกินไปแล้วนะครับ แม่ต้องกินอีกเยอะ ๆ นับแต่นี้ไปผมจะเอาน้ำแกงมาให้ทุกอาทิตย์แล้วกันครับ” โจวข่ายบอก
“แล้วลูกไปเอาเงินมาจากไหนน่ะ?” หลินชิงเหอถาม
เพราะเงินที่เธอให้เขาไปก็มีมากขนาดนั้นแล้ว
“เพื่อนผมกับผมไปช่วยสอนวาดภาพน่ะครับ แล้วก็ได้เงินค่าจ้างมา” โจวข่ายบอก
“ถ้าทำแล้วเสียการเรียนแม่ไม่อนุญาตให้ทำนะ” หลินชิงเหอกล่าว
“ไม่หรอกครับ เราไปสอนหลังจากที่ทบทวนบทเรียนเสร็จแล้วต่างหาก แม่ไม่ต้องกังวลหรอก” โจวข่ายเอ่ย
หลินชิงเหอพยักหน้า ก่อนจะให้เงินเขาไว้ใช้จำนวน 1 หยวนและกลับมาที่หอพัก
ลูกชายของเธอต้องกตัญญูต่อเธอ แต่เธอก็ไม่ควรจะตึงเกินไป ควรปล่อยให้เขาได้มีเงินถุงเป็นของตัวเองบ้าง
โจวข่ายวางแผนจะนำน้ำแกงมาให้แม่ของเขาจริง ๆ ซึ่งนับจากวันนั้นหลินชิงเหอก็ได้ดื่มบำรุงร่างกายอยู่ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงไก่หรือน้ำแกงปลา เขามักจะนำมาให้เธอไม่ขาด
หวังลี่เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉามาก “ลูกชายของเธอกตัญญูเกินไปแล้ว”
“เธอก็เห็นแค่ด้านกตัญญูของเขาน่ะสิ ตอนที่เขายังเด็กและซนมาก ฉันถึงกับปวดใจบ่อย ๆ เลยล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยบ่น แต่บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม จากนั้นก็ตำหนิอย่างขำ ๆ “เด็กชายตัวเหม็นคนนี้ในที่สุดก็เห็นความดีของฉันแล้วสินะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...