“พ่อ ครัวก็มีอยู่แค่นั้น พ่อไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะครับ?” เจ้ารองที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านพร้อมกับพี่น้องก็ได้มาเห็นฉากนั้นพอดี เขาเดินปรี่เข้ามา
“ลูกคงจะรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะประลองกับพ่ออยู่สินะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยท่าทางสบาย ๆ
“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะครับ แม่ไม่ช่วยผมเลย” เจ้ารองเอ่ยประท้วงในทันที
“แม่ยังเป็นภรรยาของพ่ออยู่นะ พ่อกับแม่ถือว่าสนิทกันที่สุด ตอนยังเป็นเด็กน้อยลูกบอกสถานการณ์ได้ไม่แน่ชัดก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ลูกโตขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นรักแท้ระหว่างแม่กับพ่อของลูกกับเรื่องที่พวกลูกเป็นแค่ความบังเอิญอีกเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ย
“มันเลี่ยนเกินไปแล้วนะครับ ผมรับไม่ได้!” เจ้าสามเอ่ยพลางลูบปลอบตัวเองที่กำลังขนลุกไปทั้งร่างด้วยอาการเกินจริง
“ใช่แล้ว แม่กำลังสารภาพกับพูดบอกรักกับพ่ออยู่เหรอครับ?” เจ้ารองถาม
“ยังต้องพูดกันอีกเหรอ? พวกเขาสองคนรักกันเสมอแหละ” เจ้าสามบอก
“รักกันก็ดีแล้วครับ พ่อ ตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านแล้ว ผมจะยกให้พ่อแล้วกันครับ ตอนที่ผมคุ้มกันแม่อยู่ในคณะก็เกือบโดนทางมหาวิทยาลัยทำโทษแน่ะ งานหนักชะมัดเลย” เจ้าใหญ่หรือโจวข่ายเอ่ยขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” โจวชิงไป๋หันมาถามเขา
“อะแฮ่ม เรื่องมันจบไปแล้ว ยังต้องพูดถึงอีกเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยพลางถลึงมองลูกชายคนโต
โจวข่ายอธิบายอย่างไม่ปิดบัง “พ่อไม่รู้หรอกครับว่าแม่เป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยขนาดไหน ทั่วทั้งภาควิชาภาษาอังกฤษถึงกับส่งแม่เป็นตัวแทนนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยไห่หนาน ซึ่งแม่ก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบและจัดการได้สวย นำเกียรติมาให้ทางมหาวิทยาลัยโดยไม่ทำให้ทางมหาวิทยาลัยเสียหน้าเลย เรื่องที่เล่ามานี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทีหลังน่ะครับ แต่ก่อนหน้านี้ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปีนี้มีนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาที่คณะ”
จากนั้นเขาก็บอกพ่อว่าเด็กหนุ่มขนดกพวกนั้นเลือดร้อนอย่างไร ในกลุ่มพวกเขามีแม้กระทั่งเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีที่มาจากเมืองหลวงเหมือนกันที่เขียนจดหมายรักส่งให้แม่ของเขาถึง 2 ฉบับใน 1 วัน
เขามีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตหนึ่งของเมืองหลวงและยังลือกันว่าครอบครัวของเขาเป็นทหาร แม้จะรู้ว่าหลินชิงเหอแก่กว่าเขามาก เด็กคนนี้ก็ยังรุกไม่ถอย
เขาไม่สนใจเลยว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นแบบโคหนุ่มกินหญ้าแก่
แต่หลังจากโจวข่ายได้ประกาศทางวิทยุเขาก็ต้องยอมแพ้ กล่าวกันว่าเขาดูซึมเซาหมดอาลัยตายอยากไปหลายวัน ยิ่งกว่านั้นยังมาหาโจวข่ายที่ชั้นเรียนเพื่อตรวจสอบดูว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงหรือไม่ด้วย
แล้วมันก็เป็นความจริง เมื่อเขาได้มาเห็นกับตาว่าโจวข่ายผู้เป็นลูกชายของคนที่หมายปองตัวสูงใหญ่ขนาดนี้ เด็กหนุ่มหัวร้อนคนนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะจีบต่อ
เรื่องนี้ยังคงชี้ให้เห็นว่าหลินชิงเหอเนื้อหอมขนาดไหนในมหาวิทยาลัย
เจ้ารองกับเจ้าสามถึงกับอึ้งไป จากนั้นก็เอ่ยชื่นชม “แม่สุดยอดไปเลยครับ ดึงดูดคนทุกช่วงวัยเลย!”
โจวชิงไป๋มีสีหน้าน่าเกลียดไปก่อนจ้องมองภรรยา
หลินชิงเหอกระแอมไอแห้งและเอ่ยตอบ “โทษแม่ไม่ได้นะ แม่ไม่ได้ทอดสะพานให้พวกเขาสักหน่อย พวกเขาเขียนจดหมายมาเองต่างหาก”
“จดหมายเยอะเลยครับ บอกได้ว่าวันหนึ่งมาเป็นตั้ง ๆ เลย” โจวข่ายเสริม
“คืนนี้ลูกยังอยากกินข้าวอยู่ไหม?” หลินชิงเหอขบเคี้ยวฟันอย่างอดรนทนไม่ไหว
“หึ ๆ แน่นอนอยู่แล้วครับ” โจวข่ายยิ้มกริ่ม จากนั้นก็พาน้องชายทั้งสองกลับเข้าไปในห้อง
เมื่ออยู่ในห้องกันเป็นการส่วนตัวแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามก็ไม่ขำแม้แต่น้อย พวกเขารีบเตือนพี่ชายคนโตว่าทุกปีจะมีนักศึกษาใหม่เข้ามา เขาต้องคอยดูแลแม่ของพวกเขาให้ดี พวกเขาไม่อยากไม่มีแม่นะ!
ปีนี้มีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้าน และสองพี่น้องก็โตขึ้นมาก
ส่วนโจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไรมากในคืนนั้น
หลินชิงเหอรู้ว่าเขาต้องโกรธแน่ น้อยครั้งนักที่จะเห็นชิงไป๋ของเธอโมโห เขาช่างน่ารักเหลือเกินเวลาทำหน้าบูดบึ้ง ดังนั้นเธอจึงลงมือง้อเขา
ในเย็นนั้นเอง เธอจึงปล่อยให้เขาได้กินอิ่มและรู้สึกพอใจ
เธอปล่อยให้เขาได้มัวเมาจับเธอพลิกไปพลิกมาหลายครั้ง เป็นเช่นนั้นเธอถึงปลอบเขาได้
“ปีหน้าผมจะไปส่งพวกคุณสองคนเอง” โจวชิงไป๋บอก
“จำเป็นด้วยเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม
เธอกับลูกชายคนโตจะเริ่มเรียนอีกครั้งในวันที่สิบ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องออกจากบ้านในวันที่หก ดังนั้นจะอยู่ได้ถึงวันที่หกของเทศกาลปีใหม่และจากบ้านไปอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้
จึงไม่จำเป็นที่จะให้โจวชิงไป๋เดินทางพร้อมกับภรรยาและลูกชาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...