งานเลี้ยงอาหารเย็นวันสิ้นปีของครอบครัวถูกจัดในวันที่ 31 ธันวาคม 1979
ซึ่งความจริงแล้วครอบครัวสาขาอีกสามครอบครัวก็สนใจอยากมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยเหมือนกัน
แต่หลินชิงเหอก็ปฏิเสธไป เธอบอกให้ทุกคนแยกกันกินอาหารของตัวเอง เพราะปีนี้เจ้าใหญ่ไม่ได้กลับมาที่บ้าน เมื่อมากันไม่ครบคนแล้วก็ให้พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้
ส่วนเรื่องที่โจวชิงไป๋กับเด็ก ๆ จะย้ายไปอยู่เมืองหลวงหลังปีใหม่นี้ เธอยังไม่ได้บอกใคร
และในวันสิ้นปีที่หลินชิงเหอมายังบ้านตระกูลโจวเพื่อคุยกับพี่สะใภ้ทั้งสาม เธอก็ได้พูดถึงเรื่องนี้
พี่สะใภ้ทั้งสามต่างตกตะลึงไป
“หา? หลังปีใหม่นี้ น้องชายสี่จะย้ายเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้ารองและเจ้าสามเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอที่นี่กัน?” สะใภ้ใหญ่เอ่ยด้วยอาการงุนงง
“คุณพ่อคุณแม่จะอยู่ที่นี่แทนน่ะค่ะ แต่ในอนาคตพวกท่านก็จะย้ายไปอยู่กับเราด้วย” หลินชิงเหอตอบ
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่คัดค้านอะไร ว่าตามความจริงแล้วพวกเขาจะได้อาศัยอยู่ในบ้านที่กว้างขวางขึ้น และในสวนหลังบ้านยังมีเป็ดไก่มากมายด้วย
“ถ้าพวกเราย้ายไปแล้ว พี่ช่วยดูแลคุณพ่อกับคุณแม่ให้ฉันด้วยนะคะ ทั้งคู่อายุมากแล้ว ควรหยุดทำงานในทุ่งนาได้แล้วค่ะ” หลินชิงเหอพูดต่อ
สำหรับการดูแลผู้สูงอายุ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น
ต่อให้มีการแยกครอบครัวไปแล้ว แต่คนในบ้านตระกูลโจวก็ไม่ขัดแข้งขัดขาแย่งกันดูแลท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่แก่ชราเลย
ช่างต่างจากครอบครัวบ้านอื่นที่มักจะทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อย ๆ
“ไม่มีปัญหาจ้ะ แล้วเรื่องที่น้องชายสี่กับเด็ก ๆ ย้ายไปเมืองหลวงนี่ เธอทำอย่างไรกับเรื่องที่อยู่อาศัยกับทะเบียนบ้านเหรอ?” สะใภ้สามเอ่ย
“ปีนี้ฉันได้ทำงานในมหาวิทยาลัยปักกิ่งในตำแหน่งอาจารย์ภาษาอังกฤษแล้วค่ะ ทางมหาวิทยาลัยจัดหาที่พักที่เหมาะจะอยู่อาศัยให้แล้ว ส่วนเรื่องทะเบียนบ้านก็ยิ่งไม่ต้องห่วง ทางคณะของฉันจะช่วยในเรื่องนี้ ดังนั้นไม่มีปัญหาเลยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยให้ความมั่นใจด้วยรอยยิ้ม
ชิงไป๋ของเธอรวบรวมเอกสารสำคัญทั้งหมดที่ต้องใช้ในการย้ายที่อยู่ในทะเบียนบ้านมาแล้ว ทำให้ครอบครัวของพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ได้ในทันทีที่ถึงเมืองหลวง
ได้ยินดังนี้แล้ว สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง และสะใภ้สามก็อึ้งไป
สะใภ้สี่ช่างเก่งกาจเกินไปแล้ว!
เธอจัดการทั้งเรื่องงาน ทะเบียนบ้าน และเรื่องอื่น ๆ หมดเรียบร้อยแล้วเหรอ?
“แล้วงานของน้องชายสี่ล่ะ? เขาได้งานแล้วเหรอ?” สะใภ้รองถาม
“ฉันเช่าร้านค้าร้านหนึ่งให้ชิงไป๋ไปอยู่น่ะค่ะ ถึงตอนนั้นเขาคงเป็นเถ้าแก่ขายเกี๊ยวได้” หลินชิงเหอตอบ
“เป็นเถ้าแก่? น้องชายสี่ยอมด้วยเหรอจ๊ะ?” สะใภ้สามอุทานอย่างประหลาดใจ
“ทำไมเขาถึงจะไม่ยอมล่ะคะ? เราเองก็ต้องพึ่งพามือของเขาในการหาเงินด้วย อย่าคิดมากเลยค่ะ การเป็นเจ้านายตัวเองไม่ใช่สิ่งน่าอายหรอก มีแค่เวลาไม่มีจะกินแล้วต้องไปขโมยชาวบ้านเขากินนี่แหละค่ะถึงเรียกว่าน่าอาย” หลินชิงเหอบอก
“ชิงเหอ เธอได้ยินข่าวอะไรจากเมืองหลวงบ้างไหมจ๊ะ? ในอนาคตจะมีคนโดนจับหรือเปล่า?” สะใภ้ใหญ่ถาม
“ฉันได้ยินคุณแม่บอกว่าพี่เลี้ยงไก่ไว้เยอะเลยเหรอคะ?” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
“พี่เลี้ยงมากกว่าหนึ่งโหลแล้วล่ะ” สะใภ้ใหญ่พยักหน้า
“รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิหน้านะคะ แล้วพี่ค่อยจับมาสองตัวแล้วหาที่ปล่อยขาย” หลินชิงเหอพูด “ถ้ามีใครมาสอบสวน พี่ก็บอกไปว่ามีคนในครอบครัวกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังคลอดแล้วก็ไปที่บ้านของเสี่ยวเหมย แต่ถ้าไม่มีใครตรวจสอบ พี่ก็ลองเอาไปขายที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลดู”
สะใภ้ใหญ่ได้ยินก็มีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย “แล้ว…ถ้าเกิดว่าพี่โดนจับจะทำอย่างไรล่ะ?”
“คนที่อยู่ในกรมเป็นสหายในกองทัพของชิงไป๋ ถ้าเกิดท่าไม่ดี พี่ก็อ้างชื่อชิงไป๋ได้ค่ะ” หลินชิงเหอปลอบ
หลังจากวันนี้ไปก็จะเข้าสู่ยุค 80 ปี 1980! อันเป็นปีหน้าฟ้าใหม่ สายลมวสันต์จะพัดบนพื้นโลกและมวลผกาแห่งฤดูใบไม้ผลิจะเบ่งบาน จะไม่มีการต้องขอดูจดหมายแนะนำตัวเวลาเข้าเมืองอีกต่อไป ไม่มีใครสนใจในเรื่องนี้เลย
การจับไก่สองตัวไปขายนับว่าเป็นอาชญากรรมตรงไหนกัน?
“ในอนาคตอะไร ๆ จะดีขึ้นเรื่อย ๆ คนหลายคนในเมืองหลวงก็กำลังตั้งตนเป็นเถ้าแก่กันแล้วค่ะ” หลินชิงเหอบอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...