ในยุคนี้การได้ย้ายทะเบียนบ้านในชนบทเข้าไปในเมืองและกลายเป็นคนเมืองกรุงที่ต้องซื้ออาหารกินนับว่าเป็นเกียรติยศอย่างใหญ่หลวง
และน้องชายสี่ของพวกเขาก็ได้ย้ายทะเบียนบ้านไปยังเมืองหลวงอย่างปุบปับ
พวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไรล่ะ?
แต่อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อภรรยาของเขาช่างน่ารักใคร่และซื่อสัตย์แบบนี้ เธอให้การดูแลอาสี่เป็นอย่างดีตอนอยู่ที่บ้าน ตอนนี้เธอเข้าเมืองหลวงไปแล้ว แต่กลับไม่ลืมที่จะพาอาสี่ไปอยู่ด้วย
ท้ายที่สุดแล้วก็บอกได้แค่ว่าชีวิตของอาสี่ช่างโชคดีจริง ๆ
“แต่ถ้านายได้เป็นเถ้าแก่แล้ว นายจะได้เรียนหนังสือไหม?” พี่ชายสามถาม
“ไม่หรอกครับ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า
นี่คือสัญญาณของการพัฒนาในอนาคต เขามองพี่ชายทั้งสามและเอ่ยต่อ “ถ้าพวกพี่ไม่ใช้ของที่บ้าน พี่ก็ขนเข้าเมืองเอาไปให้คนอื่นได้นะครับ ที่บ้านมีจักรยานอยู่คันหนึ่ง”
ที่บ้านของเขามีจักรยานอยู่คันหนึ่ง เช่นเดียวกับอีกคันหนึ่งที่เป็นของขวัญวันแต่งงานของโจวเสี่ยวเหมย
ภรรยาของเขาบอกให้นำจักรยานคันหนึ่งไปให้น้องชายสามของเธอ ซึ่งเขาก็ไม่คัดค้าน
โจวชิงไป๋ทำรายการบัญชีอย่างเช่นต้นทุนของแป้ง ไส้ และอื่น ๆ ที่ต้องใช้ทำเกี๊ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เกี๊ยวชามหนึ่งจะทำกำไรได้ 5 เหมา แต่มันก็ดึงดูดคนมาได้ไม่มากนัก
ต่อให้จะเรียกแขกได้ไม่มาก แต่ถ้าได้ลูกค้า 20 คนต่อวัน เขาก็จะได้เงิน 1 หยวน ใน 1 เดือนก็จะเป็นหลัก 10 หยวน
แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้นับว่าไม่มากในเมื่อเงินเดือนของภรรยาเพิ่มขึ้น ซึ่งเธอได้เงินมากกว่า 60 หยวนต่อเดือน แถมยังมีเงินสวัสดิการอีกต่างหาก
ต่อให้การเปิดร้านขายของจะทำเงินได้ไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ
โจวชิงไป๋รู้สึกกดดันขึ้นมาเล็กน้อย
เขารู้สึกค่อนข้างมั่นใจว่าเกี๊ยวที่เขาทำรสชาติไม่ได้แย่ หากเขาหาเเหล่งซื้อเนื้อแกะกับเนื้อวัวในเมืองหลวงได้ เขาก็สามารถทำเกี๊ยวไส้อื่น ๆ ได้
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เขาสามารถจัดการดูแลร้านได้
นี่คือสิ่งที่หลินชิงเหอชื่นชมและชื่นชอบในตัวของโจวชิงไป๋
หากเขาตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาก็จะไม่ลังเลอีกต่อไป เขาวางแผนอนาคตไว้อย่างจริงจังและไม่สักแต่ว่าพูด กลับกันชายหนุ่มนับว่าเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากทีเดียว
มีทั้งความมั่นใจและมีวินัยในตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ทางกองทัพสอนเขามาอย่างดีมาก
ดังนั้นต่อให้เป็นแบบหลินชิงเหอ เธอก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของเขาได้เลย นับจากเวลาที่เธอทะลุมิติมาและรักษาระยะห่างจากเขาจนกระทั่งถูกเขากลืนกินอย่างสมบูรณ์แบบในภายหลัง
เช่นเดียวกัน โจวชิงไป๋เองก็หลงใหลในอ้อมกอดแสนอบอุ่นอ่อนโยนของภรรยา
หลังอยู่ที่บ้านตระกูลโจวมามากกว่าหนึ่งชั่วโมง คนอื่น ๆ ก็เข้ามาเยี่ยมเยียนและสนทนาด้วย จึงเป็นเหตุให้ข่าวคราวแพร่สะพัดออกไป
มันกลายเป็นประเด็นใหญ่และร้อนแรงที่สุดของปีนี้ในหมู่บ้านโจวเจี่ย
หลังปีใหม่นี้ โจวชิงไป๋และภรรยาของเขาจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลวงพร้อมเจ้ารองและเจ้าสาม!
“แกไม่รู้เหรอว่าพวกคนบ้านโจวโชคดีกันขนาดไหน พวกเขาได้แต่งกับภรรยาที่นำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัวขนาดนั้นล่ะ”
“ใครจะปฏิเสธเรื่องนั้นได้ล่ะ? ภรรยาคนนี้นับว่าเป็นยอดหญิง ได้มาไว้ในตระกูลถือว่าโชคดีไปสามชั่วรุ่นเลยทีเดียว ดูเฒ่าเจ็ดโจวกับภรรยาของเขาสิ พวกเขาไม่ต้องทำงานในทุ่งนากันแล้ว”
“นั่นแค่คนรุ่นก่อนหน้านะ ดูเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ที่อยู่รุ่นหลังจากนี้สิ นับจากนี้ไปพวกเขาทุกคนจะกลายเป็นคนมีพรสวรรค์ ในอนาคตเด็ก ๆ พวกนี้จะต้องมีชีวิตที่มั่งคั่งแน่”
“เรียกว่าโชคดีสามรุ่นได้อย่างไรล่ะ? ต้องโชคดีสี่รุ่นถึงจะถูก”
“…”
ในวันแรกของปีใหม่ น้องชายสามตระกูลหลินก็พาภรรยาและเด็ก ๆ มาเยี่ยม
เนื่องจากมีเด็กมาด้วยหลายคน พวกเขาจึงนำไก่ฟ้ามาด้วย 2 ตัวนอกเหนือจากธัญพืชทั้งหลาย
หลินชิงเหอกับสะใภ้สามตระกูลหลินลงมือเตรียมอาหารกลางวัน แล้วหลินชิงเหอก็พูดขึ้นมาว่า “ชิงไป๋กับพี่จะเข้าเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้ เธอกับน้องชายสามของพี่อยู่ที่นี่ให้ดีนะ”
“ไปเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้เหรอคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินอุทานอย่างประหลาดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...