ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม นิยาย บท 299

บทที่ 299 ดูแล

หลายวันมานี้เฒ่าหวังมีแค่อาการไอแห้ง

แต่หลินชิงเหอก็ไม่นิ่งนอนใจ เธอบอกให้โจวข่ายไปอยู่ที่ห้องพักของเฒ่าหวังและนอนหลับเป็นเพื่อนคุณตาทูนหัว

แม้ห้องนั้นจะเป็นห้องเดี่ยว แต่โจวข่ายก็สามารถปูฟูกนอนบนพื้นได้ ที่นั่นมีผ้านวมและผ้าห่มเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่หนาวมากนัก

เฒ่าหวังบอกว่าไม่จำเป็น เขาเป็นแค่หวัดเล็กน้อยทำไมต้องทำถึงขนาดนี้?

แต่หลินชิงเหอยืนกรานคำเดิม เจ้าใหญ่ก็แสดงออกว่าอยากไปอยู่ดูแลด้วย

และแล้วในคืนนั้นตอนประมาณห้าทุ่มนี่เอง เฒ่าหวังก็เริ่มมีไข้

ร่างกายของชายชราร้อนดังไฟสุม ต้องขอบคุณที่โจวข่ายเป็นคนไวต่อสัมผัส เมื่อได้ยินเสียงของชายชรา เขาก็รีบตื่นขึ้น เมื่อลองใช้มืออังหน้าผากดูก็พบว่าร้อนมาก

เด็กหนุ่มปลุกชายชราให้ตื่นขึ้นมาดื่มน้ำ ขณะเดียวกันก็หยิบยาที่แม่ให้ไว้ให้เขากินตามไปด้วย จากนั้นเขาก็พันห่อเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้กับคุณตาทูนหัว นำผ้านวมมาคลุมตัวเขาไว้ จากนั้นก็แบกพาเขาตรงไปที่โรงพยาบาล

ในตอนนี้ความได้เปรียบเรื่องขนาดตัวของเด็กคนนี้ได้สำแดงผลออกมาแล้ว

เขาแบกคุณตาทูนหัวไว้บนหลังแล้วเดินไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล เมื่อถึงแล้วเขาก็มีอาการเหนื่อยหอบเพียงเล็กน้อย จนคุณหมออดไม่ได้ที่จะชื่นชมร่างกายที่แข็งแรงของเขา

จากนั้นคุณหมอก็ตรวจอาการเฒ่าหวังและเจาะเข็มให้น้ำเกลือ

หลังได้ยินว่าคนป่วยได้รับยาลดไข้แล้ว เขาก็ไม่ได้ให้ยาต่อ ซึ่งอาการของผู้เฒ่าตอนนี้นับว่าค่อนข้างคงตัวแล้ว

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งเช้าวันต่อมาถึงรู้ในตอนที่โจวข่ายมาหาและขอให้ช่วยต้มโจ๊กซี่โครงหมูลูกบัว

โจวชิงไป๋ต้องไปต้มโจ๊กซี่โครงหมูลูกบัวให้ ดังนั้นเขาจึงไปเปิดร้านก่อน ส่วนโจวข่ายก็พาโจวเฉวี่ยนกับโจวกุยหลายไปโรงพยาบาล และแน่นอนว่าหลินชิงเหอก็ไปด้วย ทั้งหมดพากันไปเยี่ยมเฒ่าหวังที่พักรักษาตัวอยู่ที่นั่น

เฒ่าหวังยังมีอาการเฉื่อยชา แต่เห็นชัดว่าเขามีความสุข

“รีบไปสอนเถอะ ผมไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ไข้ก็ลดแล้ว ผมกลับไปได้แล้วล่ะ แต่เสี่ยวข่ายก็บอกให้ดูอาการก่อน” เฒ่าหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“คุณกลับไปแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ต้องสังเกตอาการต่ออีกหน่อย” หลินชิงเหอเอ่ยค้าน

จากนั้นเธอก็ให้เขากินอาหารเช้า

ทั้งครอบครัวพูดคุยกับเฒ่าหวังอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขารอจนเฒ่าหวังกินข้าวเสร็จแล้วก็เก็บของกลับไป

ไม่มีทางเลือกนี่นะ คนที่ต้องไปเรียนก็ต้องไปเรียน คนที่ต้องไปสอนก็ต้องเข้าสอน

“นั่นลูกสาวคุณเหรอ หรือว่าลูกสะใภ้ล่ะ?” คนไข้เตียงข้าง ๆ เอ่ยถามเขา

“ลูกสะใภ้กับหลานชายทั้งสามของผมเองน่ะ”

“งั้นคุณก็โชคดีจริง ๆ นะ หลานชายคนโตของคุณช่างมีอนาคตนัก เขาแบกคุณมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนน่ะ” คนไข้เอ่ย

“ต่อให้เขาจะตัวสูงขนาดนี้ แต่เขาเพิ่งจะ 16 เอง” เฒ่าหวังยิ้ม “เด็กคนนี้น่ะเป็นเด็กกตัญญู เมื่อวานผมบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องมานอนกับผม แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะมาอยู่กับผม พ่อแม่ของเขาจึงให้เขาคอยดูอาการ มาคิดตอนนี้แล้วผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเลย”

“เมื่อแก่แล้วก็ต้องยอมรับว่าตัวเองแก่ อย่าดื้อดึงไปเลย โชคดีที่คุณมาถึงทันเวลาเมื่อคืน ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าอาการของคุณคงไม่ดีขึ้นเร็วขนาดนี้” คนไข้คนนี้บอก

“นั่นก็ถูก อนาคตผมต้องยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว” เฒ่าหวังพยักหน้าและเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ผมดีขึ้นมากแล้วล่ะ ทำไมต้องอยู่โรงพยาบาลนานกว่านี้ล่ะ?”

“อยู่เถอะคุณ เด็ก ๆ จะได้วางใจ” คนไข้คนนี้เอ่ยโน้มน้าว

คนโบราณกล่าวไว้ถูกต้องว่าโรคภัยไข้เจ็บจะมาอย่างหนักหนาราวกับขุนเขาและค่อย ๆ หายไปราวกับเส้นด้าย แต่เนื่องเพราะเมื่อคืนนี้โจวข่ายส่งเขาเข้าโรงพยาบาลและยังให้กินยาแก้หวัดทันเวลาอีกด้วย อาการวันนี้ของเขาจึงไม่หนักมากนัก

แม้เฒ่าหวังจะไม่ได้ใช้พลังงานมากนัก แต่เขาก็ไม่อาจทนกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลได้

เช้านี้โจวข่ายมีเรียนสองวิชา หลังเลิกเรียนเขาก็มาหาเฒ่าหวัง แล้วชายชราก็เอ่ยขึ้น “เก็บของกันเถอะ ฉันจะไม่นอนที่โรงพยาบาลแล้ว”

“คุณตาอยู่ที่นี่ก่อนเถอะครับ ผมจะไปคุยเรื่องนี้กับหมอเอง” โจวข่ายไม่ฟังคำเขา เด็กหนุ่มเอ่ยพลางเทน้ำอุ่นให้คนป่วยจิบหนึ่งแก้ว

จากนั้นก็ไปหาหมอ ซึ่งหมอก็บอกว่าหากจะไม่อยู่นอนโรงพยาบาลแล้วก็ได้ โจวข่ายจึงกลับมาหาและเอ่ยว่า “งั้นผมจะพาคุณตากลับนะครับ”

เฒ่าหวังพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็เดินกลับไปที่ห้องพักเดี่ยวของเขา

หลังโจวข่ายให้ชายชรานอนบนเตียง แล้วเขาก็หยิบแอปเปิลมาปอกให้คุณตาทูนหัวของเขากิน และเอ่ยขึ้น “คุณตา บ่ายนี้คุณตาอยากกินอะไรครับ?”

“คุณตา ทำไมตื่นเร็วล่ะครับ?” โจวข่ายผู้ยังคงปักหลักอยู่ที่พื้นห้องเอ่ยถามทันทีที่กลับมาจากวิ่งออกกำลังกาย และเห็นว่าชายชราตื่นนอนพอดี

เขาเตรียมตัวเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในปีหน้า ซึ่งเขาก็ได้ตื่นแต่เช้ามาฝึกฝนร่างกายอย่างวิ่งออกกำลังกายเป็นเวลานานแล้ว

“กระดูกแก่ ๆ ของฉันหายดีแล้วล่ะ ขืนเอาแต่นอนอยู่บนเตียงรังแต่จะขึ้นสนิมเปล่า ๆ” เฒ่าหวังเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“งั้นไปกินข้าวเช้าที่ร้านไหมครับ?” โจวข่ายถาม

“ไปสิ” เฒ่าหวังพยักหน้า

ทั้งคนแก่และคนหนุ่มจึงมาที่ร้านเกี๊ยวเพื่อกินอาหารเช้า ขณะที่หลินชิงเหอชอบจะนอนตื่นสายในฤดูหนาว ลูกชายคนเล็กอีกสองคนก็เป็นเหมือนกัน พวกเขาจึงยังไม่มาที่ร้าน ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเพียง 06:40 น. เท่านั้น พวกเขาสามคนจะมาถึงก็ตอนเกือบเจ็ดโมงไปแล้ว

แต่โจวชิงไป๋ง่วนอยู่ที่ร้านแล้วตั้งแต่หกโมง

ชายหนุ่มเงียบขรึมคนนี้แบกรับความรับผิดชอบต่อครอบครัวไว้อย่างเงียบ ๆ เสมอโดยไม่บ่นอะไรเลย

วันนี้เขาต้มโจ๊กซี่โครงหมูผสมหัวลิลลี่(1)และเม็ดบัว ซึ่งนี่เป็นคำสั่งของภรรยา นอกจากนี้ก็มีกับข้าวที่ประกอบด้วยกระเทียมดองกับไข่เป็ดเค็ม กินแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก

“โอ้ เฒ่าหวัง คุณดีขึ้นแล้วเหรอ?”

คุณป้าหม่ายังไม่ได้เริ่มทำงาน นางเพิ่งซื้อของชำเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน เมื่อเดินผ่านก็เห็นเฒ่าหวังกำลังยืดเอวบิดขี้เกียจอยู่ข้างนอกหลังกินอาหารเช้าเสร็จ นางเผยยิ้มในทันที

…………………………………………………………………………………

(1)- หัวลิลลี่ หรือ ไป๋เหอ (百合) ในทางยาจีนเป็นสมุนไพรบำรุงม้ามและกระเพาะ บำรุงกำลัง (ภาพจาก https://images.app.goo.gl/NNfdpgHXVmUUsBuM9)

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่แข็งแรงมากและยังพึ่งพาได้อีก สมกับที่แม่เลี้ยงดูมาอย่างดีจริง ๆ ค่ะ

เห็นพ่อทำโจ๊กแล้วอยากทำบ้างเลย ร้านยาจีนบ้านเราจะมีหัวลิลลี่แห้งขายไหมนะ?

ไหหม่า(海馬)

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม