เมื่อกลับมาบ้าน เธอได้คุยกับโจวชิงไป๋เกี่ยวกับเรื่องคนงานเกษียณแบบแม่เฒ่าสวี
โจวชิงไป๋จดจำไว้ในใจ
ตอนนี้กิจการร้านเกี๊ยวของเขาอยู่ตัวแล้ว ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรเข้ามา โจวชิงไป๋จึงใช้ประโยชน์จากการที่โจวข่ายไม่มีเรียนไปเจรจากับโรงงานอื่น ๆ
เมื่อหลินชิงเหอกลับมาจากที่ทำงาน โจวชิงไป๋ก็ได้สั่งทำเสื้อผ้าตามจำนวนที่ภรรยาของเขาแจ้งไว้ไปเรียบร้อยแล้ว
ชุดกระโปรงตามแบบล็อตแรกถูกสั่งให้ผลิตเพิ่มขึ้นอีก 100 ชุด
ไม่ใช่แค่ชุดแบบนี้เท่านั้น แต่ยังมีชุดรูปแบบที่ 2 และรูปแบบที่ 3 อีก ซึ่งโจวชิงไป๋ไปที่โรงงานและสั่งทำอีกแบบละ 500 ชุด
กล่าวได้ว่านี่เป็นคำสั่งซื้อที่เยอะมาก และเนื่องจากเป็นการร่วมงานกันเป็นครั้งแรกของพวกเขา ดังนั้นท่าทีของทางโรงงานจึงยังดีมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แบบนั้นเป็นไปได้มากว่าจะกลับมาเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ดังนั้นในปีนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการซื้อจักรเย็บผ้าจากทางตอนใต้และเปิดศูนย์การผลิตด้วยตัวเอง
ถ้าพวกเขาผลิตเสื้อผ้าเอง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคอยดูสีหน้าใคร อีกทั้งในอนาคตพวกเขายังสามารถทำเงินจากการขายเสื้อผ้ารูปแบบใหม่ ๆ เป็นรายแรกได้อีกด้วย
หลินชิงเหอไปโรงงานผลิตเสื้อผ้าโรงงานแรกที่เธอสั่งทำในอีก 7 วันต่อมา หลังจากที่ไปรับสินค้าล็อตสุดท้ายที่สั่งทำไว้เสร็จแล้ว เธอก็ไม่เคยกลับไปสั่งสินค้าจากโรงงานนั้นอีกเลย
ผู้จัดการของโรงงานก็ไม่ได้สนใจจะรักษาลูกค้าอย่างเธอไว้ ภายในไม่กี่วันต่อมา ชุดกระโปรงสไตล์นั้นรุ่นอื่น ๆ ก็ปรากฏขึ้นในตลาด
โดยไม่จำเป็นต้องถาม มันเป็นการทำเลียนแบบชุดของเธออย่างแน่นอน
ถ้านี่เป็นสิ่งที่เกิดในอนาคต เธอยังสามารถปกป้องสิทธิ์ของเธอได้ แต่ในเวลานี้ยังไม่มีสถานที่ให้ยื่นเรื่องร้องเรียนได้
หลินชิงเหอจึงใช้เรื่องนี้เป็นบทเรียน
เมื่อมีชุดแบบใหม่ออกมา เธอจะเพิ่มยอดคำสั่งผลิตในล็อตแรกและทำเงินจากการขายก่อนเป็นรายแรก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอแล้ว
เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนเมษายน
ฤดูใบไม้ผลิในเดือนนี้สดใสที่สุด ชุดกระโปรงและเสื้อผ้าหลาย ๆ แบบของหลินชิงเหอถูกนำออกขายในตลาด และธุรกิจก็กำลังมาแรง
โดยเฉลี่ยแล้วร้านเสื้อผ้าจะขายชุดได้อยู่ที่ประมาณ 10 กว่าชุดต่อวัน
ตอนแรกเธอตั้งใจจะให้หู่จือตั้งร้านแผงลอยบนถนน ถึงตอนนี้เธอได้แต่ทิ้งความคิดนั้นออกไป เธอจะคุยถึงเรื่องนี้เมื่อเธอมีศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นของตัวเองแล้ว
หู่จือจัดการในเรื่องการขนย้ายสินค้าและจดบันทึกการซื้อสินค้าในร้าน รวมถึงรับผิดชอบในการเฝ้าดูแลประตูทางเข้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเอ้อร์นีและสวี่เชิ่งเหม่ย
หลินชิงเหอเตรียมการเรียนการสอนเสร็จเรียบร้อยในคืนนั้น และหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาดู
เธอไม่ได้เป็นคนจัดทำสมุดบัญชีเหล่านี้ เพราะบัญชีทั้งหมดโจวชิงไป๋เป็นคนจัดการ ทุกวันเขาจะทำใบรายการสินค้าคงคลังเพื่อคำนวณตัวเลขทางบัญชี
“ได้เงินมากขนาดนี้เลยหรือคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ
ธุรกิจร้านขายเสื้อผ้านั้นดีมาก ยอดขายเสื้อผ้าขั้นต่ำในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 20 ตัว ถ้าวันไหนขายได้มากก็สามารถขายได้ 30 ถึง 40 ตัว หรือแม้กระทั่ง 50 ตัวก็ยังเป็นไปได้ ในช่วงกลางสัปดาห์จะมีวันที่ของหมดสต๊อก
แต่กำไรยังอยู่ที่ประมาณ 4 หยวนต่อ 1 ตัว แม้แต่มี 7-8 วันในเดือนที่แล้วที่ไม่มีของในสต๊อก กำไรของร้านเสื้อผ้าในเดือนที่แล้วก็ยังได้มากถึงราว ๆ 2,000 หยวน!
หลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจ นี่ไม่ใช่จำนวนที่น้อย ๆ เลย
“มันทำกำไรดีมากเลยนะครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
ธุรกิจร้านเกี๊ยวของเขาก็ไปได้ดีมาก แต่รายได้ 300 หยวนต่อเดือนก็คือเพดานสูงสุด ยากมากที่จะทำรายได้ให้ทะลุเกิน 300 หยวน และกำไรต่อหน่วยก็น้อยมากจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม 300 หยวนนั้นถือว่าค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าร้านเสื้อผ้าของภรรยาจะทำกำไรได้มหาศาลถึงขนาดนี้
“อย่างนี้คุณยังจำเป็นต้องเป็นนายหน้าค้าของในตลาดมืดต่อไปอีกไหมครับเนี่ย?” โจวชิงไป๋เลิกคิ้วใส่ภรรยาของเขา
“มันจะยังขายได้ต่อไปอีก 2-3 ปีนะคะ หลังจาก 2-3 ปีนี้คนอาจจะไม่ต้องการจะซื้อมันอีกแม้ว่าคุณจะเอาของมาขายต่อก็ตาม” หลินชิงเหอกล่าว
มันจำเป็นมากที่จะต้องซื้อมาและขายไปในระหว่างช่วงวันหยุดหน้าร้อนนี้ เพราะจะมีความต้องการน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในอนาคต ดังนั้นในตอนนี้ต้องคว้าโอกาสในการทำกำไรเพื่อจะได้มีรายได้มากขึ้น
จนกระทั่งถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเรือนสี่ประสานในฝันเลย
ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจเสื้อผ้าที่มีในปัจจุบันก็ไม่ใช่ธุรกิจระยะยาว มันจะกลายเป็นธุรกิจธรรมดา ๆ ที่มีอยู่ดาษดื่นในอนาคต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...