หม่าเสี่ยวตั้นดีใจมาก เขารีบเก็บลูกแก้วแล้วเดินเข้าไปหา
โจวกุยหลายสังเกตเห็นว่ามือของหม่าเสี่ยวตั้นสกปรกมากจึงบอกว่า “ไปล้างมือก่อน ถ้านายไม่ล้างมือพยาธิจะเข้าไปอยู่ในท้องของนายได้เลยนะ”
หม่าเสี่ยวตั้นเคยมีพยาธิตัวกลมในร่างกายมาก่อน ต้องกินยาขับออกมาถึงจะหาย เขาจึงไปล้างมืออย่างเชื่อฟังในทันที จากนั้นก็มากินเกี๊ยวกับพี่ใหญ่คนนี้ทันที
คุณป้าหม่ารู้สึกยินดีเป็นอันมากและเอ่ยว่า “นี่เป็นพี่ชายของหลานนะ ต่อไปต้องเรียกเขาว่าพี่นะจ๊ะ”
“พี่?” หม่าเสี่ยวตั้นมองไปที่โจวกุยหลาย
โจวกุยหลายยิ้มยิงฟันออกมา “ถูกต้อง ฉันเป็นพี่ชายของนาย จากนี้ไปนายสามารถมาดูทีวีที่บ้านฉันตอนค่ำได้ ตราบใดที่นายเรียกฉันว่าพี่”
“พี่มีทีวีด้วยเหรอครับ?” หม่าเสี่ยวตั้นถาม
“แน่นอน มันมีอะไรน่าสนใจเยอะแยะเลยนะ คืนนี้ตอนนายได้ไปดูนายก็จะรู้เองละ” โจวกุยหลายพยักหน้าบอก
คุณป้าหม่ากลับไปล้างจานต่ออย่างร่าเริง ปล่อยให้เด็ก ๆ นั่งกินและคุยกันต่อที่นั่น
หลินชิงเหอและลูกชายคนโตของเธอมากินอาหารเย็นที่นี่ เฒ่าหวังไม่ได้มาด้วย
เมื่อถึงเวลาคุณป้าหม่าก็พาหม่าเสี่ยวตั้นกลับ หม่าเสี่ยวตั้นยังสนใจอยากรู้เรื่องทีวีที่โจวกุยหลายเอ่ยให้ฟังอยู่จึงไม่ลืมหันไปบอกว่า “พี่ครับ รีบกลับบ้านนะครับ”
“ได้เลย” โจวกุยหลายโบกมือ
เมื่อหม่าเสี่ยวตั้นออกไปแล้วโจวกุยหลายก็กลับไปพูดเรื่องเดิม ๆ อีกครั้ง เขาหันไปหาแม่ของเขา “แม่ครับ ถ้าแม่ยอมมีน้องชายหรือน้องสาวอีกคนให้ผมตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็น่าจะอายุประมาณนี้แล้วละครับ”
“นี่ลูกไม่รู้เหรอว่าฟืนไฟและข้าวสารมันแพงมากขนาดไหน? ไม่รู้เหรอว่าการต้องดูแลลูกสามคนพี่น้องมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ?” หลินชิงเหอย้อนกลับอย่างหงุดหงิด
“พวกเราดูแลยากยังไงครับ? พวกเราก็ถูกเลี้ยงปล่อยให้เป็นอิสระ” โจวกุยหลายตอบ
“เลี้ยงแบบอิสระ เลี้ยงแบบอิสระมาก ต้องตัดเสื้อผ้าให้ทุกปี แล้วยังมีนมผง นมผงมอลต์แล้วก็ลูกอมนมอีก พอโตขึ้นมาก็ต้องซื้อลูกฟุตบอล สั่งนมสดให้กิน กินไข่กันทุกวัน กินเนื้อทุก ๆ 3 ถึง 5 วัน ทั้งยังมีอุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ อีก…” หลินชิงเหอร่ายรายการทุกอย่างแต่ละอันให้เขาฟัง
หู่จือและสวี่เชิ่งเหม่ยที่ปิดร้านเสื้อผ้าแล้ว และมากินข้าวเย็นที่นี่ถึงกับตะลึง
ในขณะที่โจวเอ้อร์นีนั้นรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
หล่อนไม่สามารถหาคำพูดไหนมาใช้สำหรับการใช้ชีวิตของคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อนได้เลย ไม่เพียงแต่เด็ก ๆ ในบ้านครอบครัวโจวที่รู้สึกอิจฉาความเป็นอยู่ของโจวข่ายและน้อง ๆ ของเขา แม้กระทั่งเด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างก็อิจฉาด้วยกันทั้งสิ้น
คุณอาสะใภ้สี่ของเธอเป็นเจ้าของป้ายกำกับว่า ‘คุณแม่คนนั้น’
แต่หู่จือกับสวี่เชิ่งเหม่ยไม่เคยรู้เรื่องนี้ ของบางอย่างที่คุณอาสะใภ้ของพวกเขาเอ่ยถึงยังถือว่าเป็นของหายากอยู่เลยในสมัยนี้
หลินชิงเหอตรวจนับบัญชีและพูดว่า “อย่าว่าแต่ในหมู่บ้านของเราเลย แม้แต่ในเขตรอบ ๆ และเด็กที่อยู่ในเมืองยังไม่ได้รับสิ่งดี ๆ เหมือนที่พวกลูกสามคนพี่น้องได้เลย”
ริมฝีปากของโจวกุยหลายกระตุกแล้วพูดว่า “ครอบครัวของเราตอนนั้นรวยมากเลยหรือครับ?”
“ในเวลานั้นครอบครัวของเราเรียกได้ว่า ตบหน้าตัวเองจนบวมเพื่อให้ดูอ้วน(1) ตอนนั้นคุณปู่คุณย่าไม่ได้อยู่รวมกับครอบครัวของเรา ทั้งบ้านมีแต่ป๊าคนเดียวที่ออกไปทำงานในทุ่งนา จะหาเงินมาได้สักเท่าไหร่กันกับแต้มค่าแรงแต้มเดียว? ถ้าไม่เป็นเพราะตอนนั้นป๊าได้เงินจากการเกษียณมาบ้างหลายร้อยหยวน การต้องหาเลี้ยงพวกลูกคงมีปัญหาแน่ ลูกยังกล้ามาบอกให้ม้ามีน้องอีกคน เจ้าเด็กเหลือขอนี่ ลูกไม่รู้สึกเจ็บปวดแทนป๊ากับม้าเลยเหรอ?” หลินชิงเหอพูด
“เจ็บปวดสิครับ ผมจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้ยังไง? พอผมโตขึ้นแล้ว ผมจะเป็นคนทำงานทั้งหมดเอง แม่กับพ่อสามารถเดินทางไปรอบโลกได้เลยครับ ที่ไหนก็ได้ที่อยากไป ถ้าแม่ขาดเงินแม่ไม่จำเป็นต้องมาบอกผม แต่ผมจะโอนเงินไปให้แม่เองทุกเดือนเลยครับ” โจวกุยหลายรับปากทันที
“ค่อยเข้าท่าขึ้นมาหน่อย” หลินชิงเหอพอใจเมื่อได้ยิน ถึงตอนนี้เธอจึงยอมปล่อยเขาไปโดยไม่บ่นว่าเขาต่อ
“นายมีชีวิตวัยเด็กที่ดีมากเลย” หู่จือพูดขึ้นมาอย่างอิจฉา
ไม่เพียงแต่เขา สีหน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยก็ยังเต็มไปด้วยความอิจฉา
“มันเป็นอดีตไปแล้วละ” โจวข่ายหัวเราะ
แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีคำไหนมาอธิบายวัยเด็กของพวกเขาได้ คนอื่นไม่มีทางจะมาเปรียบเทียบกับพวกเขาได้เลย
หลังอาหารเย็นของครอบครัว โจวชิงไป๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “เฝ้าร้านด้วย” ตอนนี้ยังไม่ถึงสองทุ่มเลย แต่เขาจะไปดูหนังกับภรรยาของเขา
ปกติแล้วร้านเกี๊ยวจะปิดตอนราว ๆ สองทุ่มครึ่ง ซึ่งยังไม่ดึกมาก
หลินชิงเหออารมณ์ดีและออกไปดูหนังกับโจวชิงไป๋
“พ่อกับแม่ของเราออกไปดูหนังกันอีกแล้ว พวกเขาช่างรู้วิธีใช้ชีวิตให้มีความสุขพอ ๆ กับที่รักใคร่กันอย่างดูดดื่มจริง ๆ” โจวกุยหลายตั้งข้อสังเกตด้วยอารมณ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...