นี่เป็นอาหารเย็นวันสิ้นปีมื้อแรกของพวกเขาในเมืองหลวง
พวกเขาเปิดทีวีดูละครทีวีไปด้วย ในยุคนี้ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเทศกาลกาล่าฤดูใบไม้ผลิ ดูเหมือนว่าเทศกาลกาล่าฤดูใบไม้ผลิจะยังไม่จัดขึ้นจนกว่าจะถึงปี 1983
มันเพิ่งจะเป็นปี 1981 เท่านั้น
แม้จะไม่มีเทศกาลกาล่าฤดูใบไม้ผลิ แต่อาหารเย็นก็ยังนับว่าอุดมสมบูรณ์เหลือแสน ทั้งโต๊ะล้วนมีแต่อาหารนานาชนิดวางอยู่เต็ม
นอกจากอาหารจานเนื้อกับอาหารจานผักแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มด้วย เป็นโซดารสสาลี่ยี่ห้อต้าไป๋(1) กับน้ำอัดลมยี่ห้อเอเชี่ยน(2) ทั้งสองอย่างต่างเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในยุคนี้ และยังมีราคาแพงเสียด้วย
เมื่อหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋พาเด็ก ๆ มา พวกเขาได้แวะซื้อมันระหว่างทาง
ในบ้านจึงมีครอบครัวของโจวเสี่ยวเหมย ครอบครัวของหลินชิงเหอ โจวเอ้อร์นีผู้เป็นหลานสาว และเฒ่าหวังที่ท่านพ่อโจวพามาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
พวกเขาจะไม่ให้เฒ่าหวังมาร่วมงานเลี้ยงอาหารเย็นวันสิ้นปีแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?
ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงมารวมตัวกันกินอาหารเย็นวันสิ้นปีมื้อนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
คนทั้งประเทศล้วนรวมตัวเป็นปึกแผ่น ต่อให้พวกเขาจะสามัคคีกลมเกลียวกันหรือไม่ ทุกคนต่างก็มานั่งกินอาหารเย็นในวันสิ้นปีด้วยกัน
อย่าว่าแต่หลินชิงเหอกับโจวเสี่ยวเหมยที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเลย
“เอ้อร์นี วันนี้หนูโทรศัพท์ไปที่บ้านนี่ แม่หนูได้ว่าอะไรไหม?” โจวเสี่ยวเหมยถามขณะร่วมโต๊ะอาหารเย็น
วันนี้โจวเอ้อร์นีโทรศัพท์ไปหาที่บ้าน เธอโทรไปที่บ้านของเลขาธิการสาขาย่อยของหมู่บ้านแล้วพวกเขาก็ตามแม่ของหล่อนให้มารับโทรศัพท์
“ทุกอย่างปกติดีค่ะ พวกเขาฝากสวัสดีคุณปู่ด้วยนะคะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลินชิงเหอยิ้ม “แล้วผลผลิตปีนี้ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
“หนูได้ยินแม่พูดถึงนิดหน่อย แม่บอกว่าผลผลิตปีนี้ยอดเยี่ยมมากและทั้งหมู่บ้านก็เก็บเกี่ยวได้เยอะทีเดียวค่ะ” โจวเอ้อร์นีพยักหน้า
“ตอนนี้พวกเขาต้องทำงานด้วยตัวเองแล้ว ทุกคนต่างต้องขยันทำงาน อย่าหวังว่าจะได้ขี้เกียจลอยชายอย่างเมื่อก่อนเลย” ท่านแม่โจวพูด
ท่านแม่โจวเองก็มีนิสัยเสียอยู่บ้าง แต่ตอนที่นางยังทำงานให้กับฝ่ายผลิตนั้นนางเป็นคนขยันขันแข็ง หญิงชราจึงไม่ชอบใจนักที่เห็นใครสักคนทำตัวเกียจคร้าน
พวกเขาพุ่งตัวไปข้างหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นของกิน แต่กลับชะงักเท้าไว้เมื่อเห็นว่าต้องทำงาน ตอนนี้มันก็เป็นแบบนี้ เมื่อมีระบบสัญญางานแบบแยกครัวเรือนเข้ามา ทุกคนต่างก็มีความรับผิดชอบในที่ดินของตัวเอง ไม่ได้ทำงานรวมกันเป็นกลุ่มอีก หากพวกเขาไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน? มันไม่มีอาหารร่วงลงมาจากท้องฟ้าหรอกนะ
หลังเสียภาษีจำนวนหนึ่งให้ประเทศแล้ว รายได้ส่วนที่เหลือก็จะเป็นของพวกเขา เป็นแบบนี้ทุกคนย่อมทำงานด้วยความเต็มใจ
ท่านแม่โจวรู้สึกว่านโยบายใหม่นี้นับว่าดียิ่ง ดูยอดเยี่ยมเสียด้วยซ้ำ
ท่านพ่อโจว เฒ่าหวัง ซูต้าหลิน และโจวชิงไป๋ต่างกินและดื่มกัน ส่วนท่านแม่โจวก็เอ่ยขึ้นมา “ฉันล่ะอยากรู้จริงว่าครอบครัวอาสามเป็นอย่างไรบ้าง”
“พี่สามทำธุรกิจในเมืองแล้วค่ะ พวกเขาคงจะทำได้ไม่เลวนัก” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
หล่อนรู้สึกว่าพี่ชายสามกับพี่สะใภ้สามเป็นคนขยันขันแข็ง แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำได้ไม่เลว หากมีการจัดการดี ๆ ธุรกิจนี้ก็จะทำกำไรได้อย่างมาก
“ตอนนี้พี่สามกับพี่สะใภ้สามของแกอยู่ที่บ้านเก่าของแกอยู่ แต่ภายหลังพวกเขาต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่กันเองแล้วนะ” ท่านแม่โจวเอ่ย
บ้านนั้นเป็นของลูกเขยนาง ในเมื่อพวกเขายังไม่กลับไปอยู่ ครอบครัวพี่สามก็สามารถอยู่อาศัยได้ หากพวกเขาต้องอยู่เป็นเวลานานเรื่องนี้คงจะไม่ได้
“จะต้องรีบร้อนอะไรกันคะ? ให้พี่สามอยู่ที่นั่นเถอะ เราไม่มีเวลากลับไปที่นั่นในระยะเวลาสั้น ๆ นี้หรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
พวกเขาฝากกุญแจไว้กับคุณลุงของต้าหลิน พี่ชายสามจึงต้องไปรับมันที่นั่น
หลินชิงเหอไม่เอ่ยอะไรในเรื่องนี้ เธอฟังโจวเสี่ยวเหมยที่กำลังพูดว่า “แม่คะ แม่พูดถึงพี่ใหญ่กับพี่สามแล้ว แต่แม่ยังไม่พูดถึงพี่รองเลยนะคะ”
ท่านแม่โจวไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองแต่อย่างใด นางตอบลูกสาวไปว่า “ทำไมฉันต้องพูดถึงพี่รองของแกด้วย? ในเมื่อพี่สะใภ้รองของแกคิดการใหญ่โตแบบนั้นแล้ว ฉันก็คร้านที่จะสนใจ”
ความจริงแล้วนางไม่มีปัญหาเลยถ้าสะใภ้ทั้งหลายจะมีความคิดเป็นของตัวเอง สะใภ้สี่มักมีความคิดเป็นของตัวเองเสมอ แต่จะคิดการใหญ่ได้หรือไม่ คน ๆ นั้นต้องมีความสามารถนั้นด้วย
ถ้าคน ๆ นั้นไม่มีความสามารถแต่ยังคิดการใหญ่โตอยู่ เช่นนั้นไม่ใช่เป็นการก่อเรื่องวุ่นวายหรือ?
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่พูดกัน สะใภ้รองไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายแต่อย่างใด
แต่ในเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นและหล่อนเองก็ไม่อยากได้ยินนางพูดอะไร งั้นนางก็ไม่พูด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...