ตอนนี้ดึกมากแล้ว ทั้งคู่จึงเดินทางกลับบ้าน
ยิ่งหลินชิงเหอคิดทบทวนเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดี ส่วนโจวชิงไป๋ไม่คัดค้านในเรื่องที่เธอจะเปิดร้านเลย เขาแค่ถามว่า “แล้วใครจะเป็นคนดูแลร้านนี้เหรอครับ?”
“มันง่ายออกไม่ใช่เหรอคะ?” หลินชิงเหอตอบ
เธอบอกแผนการของเธอให้เขาฟัง
เธอจะจ้างเด็กสาวไหวพริบดี 2 คนเฝ้าหน้าร้าน และยังต้องการผู้จัดการคนหนึ่งไว้ติดตามการจัดส่งสินค้า การลงบัญชี และการจัดการบัญชี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องการกำลังคนทั้งหมด
เธอวางแผนจะให้หม่าเฉิงหมินเป็นคนดูแลในด้านนี้
หลินชิงเหอตั้งใจเลื่อนขั้นให้เขาเป็นหัวหน้าผู้จัดการ ความจริงแล้วตัวเลือกอันดับหนึ่งของเธอคือเอ้อร์นี แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ เอ้อร์นีตอนนี้ยังขาดประสบการณ์อยู่ หล่อนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำงานในตำแหน่งนี้ได้
จึงเป็นเรื่องดีกว่าหากจะให้คนท้องถิ่นอย่างหม่าเฉิงหมินเป็นคนช่วยเหลือเธอ
ส่วนเรื่องเงินเดือนเธอจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่าให้ในระดับที่เหมาะสม เขาอยู่ในแผนกจัดการอยู่แล้ว ซึ่งอนาคตอาจจะมีร้านอื่นให้จัดการมากกว่านี้
หลินชิงเหอยังคงรู้สึกลิงโลดไม่น้อยตลอดทางที่กลับบ้าน
เธอไม่คิดที่จะเปิดร้านหรอก แค่รู้สึกอยากซื้อร้านไว้ให้คนอื่นเช่า แต่เธอก็อดไม่ได้ ในยุคนี้สามารถหาโอกาสได้ทุกที่ เพียงเหลือบมองครู่เดียวก็มองเห็นลู่ทางทำธุรกิจแล้ว
เงินทองล้วนหามาได้อย่างง่ายดายเป็นพิเศษ
ยกตัวอย่างเช่นร้านขายเสื้อผ้าทั้งสองร้านของเธอในช่วงนี้ไม่ต่างจากแม่ไก่ทองที่ออกไข่ทองคำเลย ในอนาคตข้างหน้า ถ้าร้านเสื้อผ้าขนาดใหญ่แบบนี้มีทำเลที่ตั้งไม่ดีและไม่ได้รับการจัดการอย่าางเหมาะสม มันคงไม่สามารถทำรายได้ให้เธอเหมือนกับตอนนี้
รูปแบบเสื้อผ้าที่เธอผลิตดึงดูดความสนใจคนซื้อโดยแท้ แต่เป็นการผลิตแบบทีละมาก ๆ ซึ่งมันยังไม่มีการทำเลียนแบบหรือการลอกเลียนแบบ ดังนั้นความต้องการจึงลดต่ำลงเล็กน้อย
เธอจึงเพิ่มร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายเข้าไปอีกร้านหนึ่ง
เธอจะคว้าโอกาสขณะที่ทุกคนมีความต้องการต่ำและขาดแคลนแหล่งสินค้ามาให้ได้มากที่สุด ทันทีที่เธอทำกำไรได้เธอก็จะลงทุนเพิ่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นในอนาคตพวกเขาก็จะได้ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินที่มีเก็บไว้จนหมดไปเปล่า ๆ
นี่คือหนทางเดียวที่เธอจะได้อยู่อย่างเสือนอนกิน
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าตอนนี้จะถึงเวลาวางแผนเปิดร้านแห่งที่สี่
โจวข่ายเริ่มเดินทางกลับไปที่ค่ายในวันที่สี่ของวันหยุดปีใหม่ โดยที่ครอบครัวของเขาไปส่ง ครั้งนี้เขาอาจไม่มีเวลากลับมาบ้านในช่วงวันหยุดฤดูร้อน บางทีอาจเป็นวันสิ้นปีในปีหน้าเลยทีเดียวที่เขาจะได้กลับมา
หลินชิงเหอรู้สึกหดหู่ไป 2 วันหลังส่งลูกชายคนโตกลับไปแล้ว
ปีนี้ลูกชายคนโตมีอายุ 18 ปี ถึงเวลาต้องบินจากอ้อมอกของพ่อแม่แล้ว แต่ในฐานะที่เป็นแม่ชราคนหนึ่ง หลินชิงเหอก็ยังรู้สึกไม่ยอมรับว่าต้องห่างจากลูกอยู่นิดหน่อย
“ม้า อย่ากังวลเลยครับ ผมจะไม่ทิ้งม้าไปไหนหรอก ภายภาคหน้าผมจะทำงานอยู่กับม้านะ” โจวเฉวี่ยนปลอบ
ปีนี้เขามีอายุ 16 ปี มีรูปร่างค่อนข้างสูงคือเกิน 180 เซนติเมตร และยังมีหน้าตาหล่อเหลา
ในบรรดาลูกชายทั้งสาม เจ้ารองดูเหมือนเธอมากที่สุด เขาเคยเป็นเด็กที่ดูเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก แต่ในตอนนี้เขากลับเอนเอียงมาทางหนุ่มผู้อ่อนโยนสง่างาม
มีลูกชายคนรองเป็นแบบนี้ก็ทำให้หลินชิงเหอรู้สึกสบายใจขึ้น เธอหันไปหาเจ้าสามและเอ่ยถาม “เจ้าสาม ลูกว่าอย่างไรล่ะ?”
โจวกุยหลายชะงักไป จากนั้นก็ประกาศเสียงดัง “ม้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องนี้ผมยังเด็ก แต่ถ้าผมโตขึ้น ผมจะพาม้ากับป๊าไปเที่ยวให้ทั่วเลย”
“ถ้าเราไปเที่ยวแล้วจะยังต้องการลูกอยู่อีกเหรอ?” หลินชิงเหอดูถูก
โจวกุยหลายยิ้มกริ่ม “งั้นม้าก็พาผมไปด้วยได้ไหมครับ?”
“ไม่พาไปด้วยหรอก ในอนาคตป๊ากับม้าจะเที่ยวกันเอง หลังเลี้ยงดูลูก ๆ มาจนโตขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากจะปกครองพวกลูกอีกต่อไปแล้วล่ะ ลูกต้องปล่อยให้เราสองคนมีเวลาของตัวเองบ้าง” หลินชิงเหอบอก
จากนั้นเธอก็เหลือบมองชิงไป๋ของเธอ
โจวชิงไป๋มีแววตาอ่อนลง
โจวกุยหลายจึงเอ่ยอย่างฮึดฮัด “ป๊า ม้า ทั้งสองคนเก็บอาการหน่อยได้ไหมครับ? ผมเหนื่อยใจแล้วนะ”
เขาไม่เคยเห็นคู่รักคู่ไหนเหมือนพ่อกับแม่ของเขามาก่อน พวกเขารักกันแบบปานจะกลืนกินจริง ๆ ตอนที่เขายังเด็กกว่านี้เขาเคยเห็นทั้งคู่ขลุกอยู่ในห้องและจูบกันมาแล้ว
ตอนนั้นพวกเขายังเล็กอยู่ คนทั้งคู่ก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ
นับตั้งแต่วันนั้นมันผ่านมากี่ปีแล้ว? พวกเขาโตขึ้น แต่ก็ยังเห็นคนทั้งคู่ประกบจูบกันอีกครั้งในคืนหนึ่ง
โดยที่แม่ของเขาจะนั่งบนตักของพ่อ ขณะที่พ่อโอบเอวแม่ไว้
ตอนนั้นประตูไม่ได้ปิดสนิท หลังแอบมองแล้วเขาก็รีบกลับเข้าห้องของตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...