สะใภ้ใหญ่รู้ดีว่าหลินชิงเหอมีนิสัยเป็นอย่างไร
ไม่ใช่เรื่องเกินไปเลยหากจะกล่าวว่าเธอไม่ยอมให้เม็ดทรายมาระคายตาแม้แต่เม็ดเดียว
โจวลิ่วนีหนีออกจากบ้านด้วยตัวเองแม้เธอจะไม่ยอมให้มา แล้วหล่อนได้อยู่ที่เมืองหลวงไหมล่ะ? คำตอบคือไม่ วันที่หล่อนเดินทางมาถึงเมืองหลวง หล่อนก็ถูกส่งตัวกลับบ้านทันทีโดยไม่ทันได้ค้างคืนแม้แต่คืนเดียว
ดังนั้นเมื่อพี่สาวใหญ่บอกว่าหล่อนอยากให้สวี่เชิ่งเฉียงไปที่เมืองหลวงพร้อมพี่สาวหลังปีใหม่นี้ สะใภ้ใหญ่ก็ไม่อนุญาต
การมีคนเพิ่มอีกคนหนึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องเลี้ยงอาหารเพิ่มอีกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องเลี้ยงเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่แบบไม่ได้อะไรกลับมาแล้วแต่ยังต้องให้เงินเดือนเพิ่มด้วย ในเมื่อทางฝั่งนั้นไม่ต้องการคนเพิ่ม ทางฝั่งนี้จะกล้าพยักหน้าตัดสินใจเองได้หรือ?
สะใภ้ใหญ่ไม่ได้อยากจะมายุ่งเรื่องนี้เลย หากเชิ่งเหม่ยพาเชิ่งเฉียงไป เขาก็จะถูกส่งตัวกลับมาอย่างแน่นอนหากว่าทางนั้นไม่ขาดแคลนคน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว พี่สาวใหญ่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อลูกสาวของตนโทรศัพท์มาหา
ตอนนี้หลินชิงเหอเป็นฝ่ายโทรศัพท์กลับมา เห็นชัดว่าสวี่เชิ่งเหม่ยอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเมืองหลวงในปีหน้าแล้ว หลังสะใภ้ใหญ่วางสายเสร็จ หล่อนก็รีบให้พี่ชายใหญ่เดินทางไปบ้านพี่สาวใหญ่
“ให้พี่สาวใหญ่ใจเย็น ๆ คิดทบทวนดี ๆ นะคะ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่รู้จักนิสัยของชิงเหอ แต่กลับกล้าส่งเขาไปที่นั่นก่อนจะเอ่ยปากบอกแบบนี้ หล่อนคิดว่าชิงเหอมีสัมพันธ์อันดีกับหล่อนนักเหรอ?” สะใภ้ใหญ่บ่นพึมพำด้วยความโมโห
ความจริงแล้วเรื่องนี้ออกจะเป็นเรื่องไม่น่าพิศมัยนักในการรับมือ หากดูตั้งแต่แรกแล้วก็จะพบว่ามันเกิดจากการล้ำเส้นของพี่สาวใหญ่
จะบอกว่าพี่สาวใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินชิงเหอก็ไม่ถูกนัก ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวใหญ่หรือพี่สาวรองก็ล้วนมีความสัมพันธ์แบบกลาง ๆ กับหลินชิงเหอด้วยกันทั้งนั้น
มีเพียงโจวเสี่ยวเหมยเท่านั้นที่สนิทชิดเชื้อกับหลินชิงเหอ
พี่ชายใหญ่นำเรื่องนี้ไปบอกกับพี่สาวคนโต
พี่สาวใหญ่เอ่ยอย่างยอมรับ “ก็ได้จ้ะ ในเมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้ไป งั้นเชิ่งเฉียงก็จะไม่ไป ส่วนเชิ่งเหม่ยจะกลับไปหลังจบเทศกาลปีใหม่แล้ว”
พี่ชายใหญ่ยังใจดีมากอยู่ เขาไม่ได้บอกเรื่องที่หลินชิงเหอทิ้งท้ายว่า ‘ถ้าสวี่เชิ่งเหม่ยยุ่งมากนัก หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องมาที่เมืองหลวง’
หลังจากเขากลับไปแล้ว บรรยากาศภายในบ้านตระกูลสวี่ก็ไม่สู้ดีนัก
“แม่คะ ดูสิ หนูบอกแล้วว่าอย่าไปพูดแบบนี้ที่บ้านน้าใหญ่” สวี่เชิ่งเหม่ยบอก
“ถ้าแม่ไม่พูด แล้วแกจะพาน้องชายแกไปได้เหรอ?” พี่สาวใหญ่มองหล่อนและเอ่ยถาม
“หนูก็บอกอยู่ว่าพาเขาไปไม่ได้ วันที่โจวลิ่วนีไปถึงเมืองหลวงเป็นวันเดียวกับที่หล่อนถูกไล่กลับมาเลยนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ใช่คนที่จะประหารก่อนแล้วรายงานทีหลัง หล่อนไม่อาจรู้นิสัยของน้าสะใภ้สี่ไปได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
เธอไม่ใช่คนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น คำพูดของเธอถือเป็นสิทธิ์เด็ดขาดเต็มร้อย เป็นหญิงจอมเผด็จการคนหนึ่งที่ทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ และกุมอำนาจเด็ดขาดภายในบ้าน
“แม่ ถ้าแม่อยากให้น้องชายหนูไปที่นั่นจริง ๆ แม่น่าจะโทรไปถามด้วยตัวเองดีไหมคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยมองแม่ของหล่อน
พี่สาวใหญ่ไม่เอ่ยอะไร หล่อนรู้สึกอับอายเล็กน้อยกับน้องสะใภ้คนนี้ พูดตามตรงก็คือต่อให้หล่อนเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน หลินชิงเหอก็ไม่นับหล่อนเป็นคนสำคัญ
หลังจากนั้นทุกอย่างจึงดีขึ้นเล็กน้อย เธอดูเหมือนสุภาพมากขึ้น ในอดีตเธอไม่แม้แต่จะชายตามองหล่อนในตอนที่เห็นหน้ากัน เหมือนพวกเขาไม่รู้จักกันอย่างไรอย่างนั้น
พี่สาวใหญ่กำลังคิดว่าหากลูกชายของหล่อนได้อยู่ที่นั่น บางทีเขาอาจจะอยู่ได้ไหมนะ?
อย่างไรเขาก็เป็นหลานคนหนึ่งและเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสามารถ ไม่ใช่เด็กสาวขี้เกียจอย่างลิ่วนี
แต่หล่อนก็ไม่คิดเลยว่าจะถูกปฏิเสธแบบนี้
พูดถึงแล้ว พี่สาวใหญ่ก็รู้สึกหดหู่
แต่หล่อนจะพูดอะไรได้อีกล่ะ? หลินชิงเหอน้องสะใภ้คนนี้ไม่เห็นหล่อนอยู่ในสายตามาก่อน ตอนนี้เธอมีอนาคตที่รุ่งเรือง เธอยังจะวางความสำคัญกับหล่อนที่เป็นพี่สามีคนโตงั้นเหรอ
“แม่ ผมอยากไปเมืองหลวง!” สวี่เชิ่งเฉียงเอ่ยอย่างไม่พอใจ เขาอยากไปที่เมืองหลวงบ้าง โดยเฉพาะตั้งแต่ที่พี่สาวได้ไปอยู่ที่นั่น หล่อนก็บอกว่าเมืองหลวงมันวิเศษอย่างไรบ้าง ขณะที่เขาทำไร่ทำนาอยู่กับบ้าน เขาไม่อยากทำงานกสิกรรมเลย ไม่เพียงแต่มันจะเหนื่อยแล้ว แต่บางทีถ้าเขาได้ไปที่นั่นเขาอาจจะได้แต่งงานกับสาวสักคนในเมืองหลวงก็ได้!
จากนั้นเขาก็จะย้ายทะเบียนบ้านไปที่เมืองหลวงได้ในอนาคตและกลายเป็นพลเมืองของเมืองหลวง ไม่ต้องทำงานในไร่ในสวนอีกต่อไป
เขาไม่คิดอะไรมากนัก ที่บ้านเขาเองก็ไม่มีอะไรต้องทำมาก หากไม่ต้องรอกลับพร้อมกับสวี่เชิ่งเหม่ยที่แก่กว่าเขา 1 เดือนแล้ว เขาก็คิดในใจว่าจะขึ้นรถกลับเมืองหลวงไปตั้งแต่วันที่ 7 เลย
ร้านเกี๊ยวของน้าสี่เปิดแล้ว เขาคงไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวของน้าสี่ได้
แค่ต้องรวมอาหารเข้าไปให้เขาเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่สำคัญอะไร
พูดตามตรงก็คืออาหารที่บ้านเทียบไม่ได้เลยกับอาหารทางฝั่งน้าสี่กับน้าสะใภ้
ดังนั้นเช้าตรู่ของอีกวัน หู่จือจึงแบกกระเป๋ามาหาสวี่เชิ่งเหม่ย ซึ่งสวี่เชิ่งเหม่ยก็ออกจากบ้านพร้อมกับห่อผ้าเล็ก ๆ ความจริงก็คือมันไม่มีอะไรให้ต้องนำไปด้วยมากนัก
ทั้งสองมาที่ตัวอำเภอด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นรถต่อไปที่เทศบาลมณฑล จากนั้นก็ต่อรถไฟจากเทศบาลมณฑลไปยังเมืองหลวง
ส่วนที่เมืองหลวง หลินชิงเหอก็เริ่มเตรียมเปิดร้านเครื่องดื่มในหลายวันมานี้
ในวันที่ 9 เธอเดินทางไปยังสำนักงานจัดการทรัพย์สินและเอ่ยถามเรื่องนี้ และได้ความว่ามีร้านค้าร้านหนึ่งอยู่แถวนั้น ราคาที่ถามมานั้นคือ 3,000 หยวน
หลินชิงเหอเดินไปดูร้านค้าเล็ก ๆ ร้านนั้น เธอไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนัก เพราะตัวร้านค่อนข้างเล็ก มีขนาดเพียง 10 กว่าตารางเมตรเท่านั้น แถมยังชำรุดทรุดโทรมเป็นพิเศษด้วย ดังนั้นต้องมีปรับปรุงและตกแต่งร้านเสียใหม่
แต่เป็นเพราะว่าข้าง ๆ ร้านค้านี้มีโรงภาพยนตร์อยู่ หลินชิงเหอจึงเกิดอาการลังเล และจบลงด้วยการที่เธอซื้อร้านค้าแห่งที่สี่ไป
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แปลตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องยุ่ง ๆ มาจากการที่พี่สาวใหญ่นี่แหละค่ะเป็นคนเสี้ยมลูกสาว คิดว่าสนิทกับแม่ขนาดอีกฝ่ายต้องรับเลี้ยงลูกตัวเองเหรอคะ ขนาดสนิทที่สุดอย่างเสี่ยวเหมย แม่ยังทำแค่ชี้เป้าให้แล้วให้ไปหาทางซื้อร้านซาลาเปากันเองเลย
ในที่สุดแม่ก็มือลั่นซื้อร้านแห่งที่สี่ไปแล้วค่ะ ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...