“ไม่ต้องช่วยหรอกจ้ะ แค่เสื้อผ้าของอาสี่กับของอาเท่านั้นเอง ให้อาสี่ของหนูเป็นคนซักเถอะ” หลินชิงเหอกล่าว
“ไปคุยกับอาสะใภ้สี่เถอะ” โจวชิงไป๋เหลือบมองหลานสาวพร้อมกับพูดออกมา
โจวซานนีเม้มปากพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป
หลินชิงเหอทำท่าบอกให้หล่อนนั่งลง ก่อนที่จะเข้าเรื่อง “อาได้ยินอาสะใภ้ใหญ่และอาสะใภ้สามเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของหนู”
“คุณอาสะใภ้สี่ไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมอะไรหนูหรอกค่ะ หนูจะแต่งงานกับหลี่อ้ายกั๋ว และจะแต่งกับเขาเท่านั้น” โจวซานนีหันหน้าหนีแล้วเอ่ยออกมา
นี่เป็นเพราะหล่อนคิดว่าเธอจะห้ามปรามไม่ให้หล่อนแต่งงาน
หลินชิงเหอยิ้ม “บอกตามตรง ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้จากอาสะใภ้สามของหนูที่ในเมือง อาก็ไม่เห็นด้วยเลย แต่พออากลับมาที่นี่แล้วได้คุยกับอาสะใภ้ใหญ่ อาก็รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้แย่อะไรมากมายนัก”
โจวซานนีถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ก้มหน้าลง
“ที่อาสะใภ้สี่เรียกหนูมาที่นี่คืนนี้เพราะมีคำพูดบางคำที่อยากจะบอกกับหนู หนูอยากจะฟังคำพูดของอาสะใภ้สี่หรือเปล่าจ๊ะ?” หลินชิงเหอพูด
“ค่ะ” โจวซานนีพยักหน้า
“ให้อาสะใภ้สี่ถามหนูก่อน ครอบครัวของหลี่อ้ายกั๋วมีลูกชายทั้งหมดกี่คน?” หลินชิงเหอถาม
“มี 3 คนค่ะ เขาเป็นคนที่ 3 แต่ว่าคุณแม่ของเขาไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่หรอกค่ะ” โจวซานนีตอบ
“งั้นเขาก็เป็นคนสุดท้องใช่ไหม? แล้วทำไมถึงไม่ชอบเขาล่ะ?” หลินชิงเหอถาม
“เขาบอกว่าตอนที่เขาเกิด ทำให้ร่างกายแม่ของเขาต้องบอบช้ำมาก หล่อนก็เลยไม่ชอบเขาน่ะค่ะ” โจวซานนีเล่า
“แล้วเขาได้บอกอะไรหนูอีกบ้าง?” หลินชิงเหอถามยิ้ม ๆ
เธอรู้สึกได้ทันทีว่าหลี่อ้ายกั๋วเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง จากการที่เขาสามารถเล่าสถานการณ์ที่บ้านตนให้ภรรยาได้รับรู้ก่อนที่จะแต่งเข้าไป
เห็นได้ชัดว่า ความรู้สึกที่เขามีให้โจวซานนีเป็นเรื่องจริง
โจวซานนีเล่าให้เธอฟังหมดทุกอย่าง
หลี่อ้ายกั๋วบอกหล่อนหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อและแม่แล้วตอนนี้ เนื่องจากพี่ชายสองคนก่อนหน้าเขาต้องการแยกบ้านออกไป
ถึงแม้ว่าในเวลานั้นตัวเขาจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่เมื่อมีการแยกบ้านเกิดขึ้น เขาก็สามารถย้ายออกไปอยู่ได้ด้วยตนเอง
ตอนนี้เขามีสัญญาเช่าที่ดินและได้ทำงานอยู่บนที่ดินผืนนั้น เขาไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย นอกจากภรรยา
นั่นเป็นเพราะตอนที่อายุยังน้อย เขายินดีจะอยู่ตามลำพังมากกว่าต้องแต่งงานกับหญิงหม้ายหรือหญิงที่หย่าเหล่านั้น และเพราะเรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องมีมลทินเพราะพวกแม่สื่อ
พวกเขาพูดว่าเป็นโชคดีของหลี่อ้ายกั๋วแล้วที่มีหญิงหม้ายเต็มใจจะแต่งงานด้วยกับเขาซึ่งเป็นคนขาพิการ อีกทั้งเขายังมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขา ที่ซึ่งการจะไปตลาดแต่ละครั้ง ต้องเดินทางไปตามถนนบนภูเขา แล้วจะมีเด็กสาวคนไหนเต็มใจจะแต่งเข้าไปอยู่ที่นั่นกันเล่า?
อย่างไรก็ตาม หลี่อ้ายกั๋วไม่ได้คิดว่าตัวเขาแย่อะไร เพียงรู้สึกว่าโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ยังมาไม่ถึงเท่านั้น
ดูเอาเถอะ ไม่ใช่ว่าภรรยาของเขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อโชคชะตามาถึงหรอกหรือ? แล้วยังเป็นหญิงสาววัยเยาว์อีกด้วย
หลินชิงเหอพอใจมากกับสิ่งที่เธอได้ฟัง เธอมองหน้าโจวซานนีแล้วพูดว่า “ในชีวิตของผู้หญิงมีโอกาสได้เกิดใหม่อยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่บิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูขึ้นมา ซึ่งหนูไม่มีโอกาสได้เลือก อีกครั้งคือตอนที่ได้แต่งงานกับใครสักคน ไม่ว่าหนูจะได้มีการแต่งงานที่ดีหรือไม่ นี่ก็เป็นโอกาสครั้งที่ 2 ของหนูแล้วนะจ๊ะ”
นี่เป็นความจริงอย่างที่สุด
การที่ผู้หญิงสามารถพึ่งพาตนเองได้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นคนแบบไหนด้วย ผู้หญิงที่เข้มแข็งบางคนสามารถต่อสู้ดิ้นรนเองได้ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่สำหรับเด็กสาวอย่างโจวซานนีผู้ซึ่งไม่เคยได้ร่ำเรียนหนังสือมาก่อน การแต่งงานมีความสำคัญมาก
เพราะเด็กสาวแบบนี้ เมื่อแต่งงานไปแล้วนั่นเป็นเรื่องของทั้งชีวิต การหย่าร้างแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย
“อาสะใภ้สี่อยากจะบอกหนู ช่วงเวลาที่อยู่ทางครอบครัวบ้านแม่ หนูสามารถทิ้งมันออกไปได้เลย เมื่อหนูแต่งออกไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะสำคัญมากไปกว่าครอบครัวเล็ก ๆ ของตนเอง หนูต้องเปิดใจรับกับทุกเรื่องให้ได้ ในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะเอาชนะได้หรอกนะจ๊ะ”
“อืม” โจวซานนีพยักหน้า
“แล้วเรื่องครอบครัวทางแม่ของหนู ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อหนูอย่างเป็นอย่างดี งั้นก็เป็นที่ถูกต้องแล้วที่หนูจะมีพวกเขาอยู่ในใจ แต่ถ้าพวกเขาปฏิบัติไม่ดีกับหนู ตอนที่แต่งงานออกไปก็ให้เงินครอบครัวทางแม่ไปสักก้อนหนึ่ง คิดเสียว่าเป็นการตัดขาดความรู้สึกที่มีต่อกันทั้งหมด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับครอบครัวทางแม่อีกต่อไป” หลินชิงเหอแนะนำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...