โจวชิงไป๋ไม่รู้ว่าควรจะออกความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรดี
เขาไม่ใช่คนที่จะจัดการเรื่องราวประเภทนี้ภายในบ้านได้ดีนัก ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
หลินชิงเหอก็ไม่ได้ต้องการคำตอบของเขา เธอพูดต่อไปว่า “จากที่เห็น หลี่อ้ายกั๋วคนนี้ไม่เลวเลยค่ะ แค่เรื่องที่ว่าหมู่บ้านนั้นมีเพียงถนนเส้นเล็ก ๆ เท่านั้นที่เชื่อมกับโลกภายนอก ถ้าไม่ระวังให้ดี พวกเขาก็อาจจะตกเขาลงไปได้”
ภาพของเส้นทางที่เป็นเนินขรุขระบนยอดเขาของท่านผู้เฒ่าจากการ์ตูนเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้ง 7 (1) ปรากฏขึ้นในหัวของหลินชิงเหอ มันอันตรายมากจริง ๆ
“พรุ่งนี้ขี่รถไปดูที่นั่นกันไหมครับ?” โจวชิงไป๋ถาม
“ดีค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าเห็นด้วยเพราะไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว
ทั้งคู่กำลังเบื่อ ๆ กันอยู่พอดี เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขามากินอาหารเช้าที่บ้านสะใภ้ใหญ่ แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางบ้านของหลี่อ้ายกั๋ว
ปกติแล้วจะต้องใช้เวลาเดินตลอดทั้งวัน แต่เนื่องจากพวกเขามีมอเตอร์ไซค์ เมื่อออกเดินทางตอน 7 โมงเช้าจึงไปถึงก่อนเวลา 11 โมง
พอมาถึงที่เมืองนั้น พวกเขาก็สอบถามไปทั่วถึงที่ตั้งหมู่บ้านของหลี่อ้ายกั๋ว
มันเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาโดยแท้
ถ้าไปทางถนนบนภูเขาที่อันตรายเส้นนี้แล้ว การเดินทางจะสั้นลง ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงก็สามารถไปถึงหมู่บ้านได้
กระนั้นก็ยังมีถนนอีกเส้นหนึ่งซึ่งจะอ้อมคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา เส้นทางนี้จะไกลกว่า และใช้เวลาเดินถึง 4 ชั่วโมงจากตัวเมืองไปยังหมู่บ้าน ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วถือได้ว่าปลอดภัยกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คือสิ่งที่ผู้คนกล่าวถึง การเดินทางจากหมู่บ้านไปตลาดต้องใช้เวลานานมาก
มันอยู่ห่างไกลจนเกินไป
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องเอ่ยว่า หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จะไม่เดินทางต่อเพื่อไปที่หมู่บ้านนั้น
พวกเขานั่งพักกินไอศกรีมคลายร้อนกันอยู่ในเมือง จากนั้นจึงเดินทางกลับหมู่บ้านของตนเอง
สำหรับโจวซานนีนั้น ถ้าดูตามอุปนิสัยของหล่อนแล้ว 9 ใน 10 ส่วน หล่อนคงจะเลือกใช้เส้นทางที่ต้องอ้อมตามไหล่เขามากกว่าเส้นทางบนภูเขาแน่ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปคอยกังวล โจวซานนีจะมีชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ฉะนั้นก็ต้องไปที่นั่นให้ได้ด้วยตนเอง
แต่ถ้าเป็นไปได้ ในอนาคต เธอก็อยากให้โจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋วพิจารณาถึงโอกาสในการออกไปหาความก้าวหน้าภายนอก
เพราะไม่ว่าอย่างไร การอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาเช่นนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับการศึกษาของเด็ก ๆ
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาหลังบ่ายโมงแล้ว พวกเขาไม่ได้ออกไปกินอาหารที่อื่น เพราะมีเกี๊ยวร้อน ๆ และข้าวเปล่าอยู่ในมิติของหลินชิงเหอ
พวกเขาสามารถดูแลกันเองได้
หลังจากกินเสร็จ โจวชิงไป๋จึงไปบ้านพี่สาวใหญ่ ซึ่งหลินชิงเหอไม่ต้องการไปด้วย ในเวลานี้พี่สาวใหญ่ก็คงไม่ต้องการจะเจอเธอเช่นกัน
อย่างไรก็ดี หลินชิงเหอก็รู้สึกอับจนกับเรื่องนี้มาก เป็นเพราะความใจอ่อนเพียงชั่ววูบทำให้เธอยอมพาสวี่เชิ่งเหม่ยไปด้วย จนกลายเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันขึ้นในเวลานี้
โจวชิงไป๋และพี่สาวใหญ่เป็นพี่น้องกัน ดังนั้นให้เขาเป็นคนไปจะดีกว่า ไม่เพียงแต่ไปที่บ้านพี่สาวใหญ่เท่านั้น แต่ยังไปบ้านพี่สาวรองด้วย เพื่อจะนำเงินเดือนไปมอบให้
หลินชิงเหอที่ไม่ได้ไปที่นั่นด้วย จึงไปเยี่ยมโจวต้งกับไฉ่ปาเม่ย
ตอนนี้โจวต้งและไฉ่ปาเม่ยได้ก้าวขึ้นไปยืนอยู่ในระดับแถวหน้าของหมู่บ้านได้อย่างแท้จริงแล้ว
ทั้งสองมีลูกชาย 2 คนและลูกสาวอีก 1 คน นับเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมาก
ในตอนที่หลินชิงเหอไปถึง โจวต้งกำลังซ่อมเล้าหมูอยู่
“คุณอาสะใภ้!” โจวต้งส่งเสียงอย่างดีใจพลางสอนลูกชายและลูกสาว “เรียกคุณย่าสะใภ้เร็ว”
“คุณย่าสะใภ้” เด็กทั้ง 2 คนเอ่ยทักทาย
หลินชิงเหอฉีกยิ้มกว้าง แล้วเปิดถุงลูกอมตรากระต่ายขาวออก จากนั้นก็ส่งให้พวกเขาคนละ 2 ห่อ และวางถุงที่เหลือลงบนโต๊ะ
“ปาเม่ย คุณอาสะใภ้มา” โจวต้งตะโกนไปทางสวนหลังบ้านอีกรอบ
ไฉ่ปาเม่ยเดินมาพร้อมกับลูกชายคนเล็ก หล่อนดีใจมากที่ได้เจอหลินชิงเหอ พลางพูดเสียงดังว่า “คุณอาสะใภ้ จริง ๆ ไม่เห็นจะต้องเอาลูกอมมาให้พวกเขาเลยค่ะ”
“ทำไมล่ะ? ไม่เห็นมีอะไรแปลกกับการที่อาจะให้ลูกอมไม่กี่ห่อกับหลานชาย หลานสาวเลยนี่จ๊ะ” หลินชิงเหอกล่าวอย่างร่าเริง
ไฉ่ปาเม่ยส่งลูกชายคนเล็กไปให้โจวต้ง แล้วเข้าไปหยิบแก้วมาล้าง จากนั้นก็เอาน้ำออกมาให้
“เธอเลี้ยงไก่ไว้ทั้งหมดกี่ตัวจ้ะเนี่ย?” หลินชิงเหอถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...