หลี่อ้ายกั๋วไม่คิดว่าเขาจะรู้จักตนเองด้วย ครั้นแล้ว เขาก็นึกถึงประโยคที่หลินชิงเหอพูดเกี่ยวกับเรื่องที่หลานสาวของเธอแต่งงานไปอยู่ที่นั่นขึ้นมาได้ จึงพอจะเดาได้ว่าทั้ง 2 คนนี้เป็นใคร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยทักทายออกไป
“คุณคือหลี่อ้ายกั๋วหรือคะ?” หลินชิงเหอมองไปที่เขาด้วยความงุนงง มันเป็นโชคชะตาจริง ๆ ที่พวกเขามาเจอหลานเขยเข้าให้พอดี เมื่อพวกเขามาถึงเมืองนี้
รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้แย่ แต่ดูเหมือนว่าอายุของเขาจะไม่น้อยแล้ว
“ใช่ครับ” หลี่อ้ายกั๋วพยักหน้ารับอย่างสงบ
“ซานนีเป็นภรรยาของคุณใช่ไหม?” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว
“พวกคุณคือคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ใช่ไหมครับ?” หลี่อ้ายกั๋วถามพร้อมกับมองไปที่พวกเขา
ภรรยาของเขาเคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับครอบครัวทางมารดาของหล่อน และคนที่หล่อนพูดถึงอย่างระมัดระวังก็คือคุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อน
ตอนที่ภรรยาของเขาแต่งงานมาที่นี่ หล่อนเอานาฬิกามาให้เขา 1 เรือน นาฬิกาเรือนนั้น ตอนนี้อยู่บนข้อมือของเขา
นอกจากนี้ ยังมีเงินสินเดิมอีก 100 หยวน
ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อนเป็นคนให้มา
เขายังรู้ด้วยว่าพวกเขาทั้งคู่อยู่ที่ปักกิ่ง ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าทักทายพวกเขาในตอนแรก อีกทั้งคนทั้งสองก็ดูไม่เหมือนกับคนที่มีอายุ 40 ปีต้น ๆ เลย พวกเขาดูมีอายุไม่มากและก็ดูดีกันมาก
แต่ตอนนี้ หลี่อ้ายกั๋วถามออกมาเช่นนี้แล้ว
“ถ้าซานนีไม่มีอาสี่และอาสะใภ้สี่คนอื่นอีก งั้นก็น่าจะเป็นเรา 2 คนนั่นแหละจ้ะ” หลินชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ ทำไมถึงได้เดินทางมาไกลขนาดนี้ล่ะครับ? อากาศมันร้อนมากนะครับ” หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าพวกเขาเป็นใครแล้ว หลี่อ้ายกั๋วก็รีบพูดขึ้น
เขาลงจากเกวียนและไปซื้อไอศกรีมมา 2 แท่ง
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ “…”
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเขาและรับมันมา วันนี้อากาศร้อนมากจริง ๆ การได้กินไอศกรีมแท่งเป็นวิธีคลายร้อนที่ดี
“พวกเราได้ยินมาว่าปีนี้มีฝนตกหนักมาก ทำให้เก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งนาไม่ได้เลย” หลินชิงเหอพูด
“ใช่ครับ ตอนนั้นผู้คนตื่นตระหนักกันมาก” หลี่อ้ายกั๋วพยักหน้า
ต้องไม่ลืมว่า คนในรุ่นของพวกเขาเคยต้องหิวโหยกันมาก่อน ดังนั้นอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลดีย่อมจะเป็นชนวนให้เกิดความตื่นตระหนกได้
“ทำไมวันนี้เธอถึงออกมาได้ล่ะ?” โจวชิงไป๋ถามเขา
“พวกเราเก็บของป่าตุนเอาไว้ที่บ้านน่ะครับ ผมเลยเอามันออกมาขาย” หลี่อ้ายกั๋วตอบ
“ฉันได้ยินมาจากป้าสะใภ้สามของเธอว่า เธอตั้งใจจะเปิดร้านค้าที่อำเภอของเราหรือจ๊ะ?” หลินชิงเหอถามเขา
หลี่อ้ายกั่วสั่นหน้า “แค่ถามดูเท่านั้นเองครับ”
จริง ๆ แล้วเขามีความตั้งใจจะทำอย่างนั้น อำเภอที่อยู่ติดกันนี้คึกคักกว่าที่อำเภอของเขามากทีเดียว เขารู้สึกว่า หากได้ไปทำธุรกิจที่นั่นคงจะไม่แย่นัก ซานนีก็จำเป็นต้องไปรักษาตัวในอำเภอด้วยแช่นกัน
แต่การเริ่มทำธุรกิจไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ขาของเขาไม่ดี เขาจะไปรับสินค้าได้ที่ไหน แล้วจะไปรับสินค้าได้อย่างไรกันล่ะ?
ความจริง เขาสามารถจ้างคนได้ แต่การจ้างคนก็ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ๆ เพราะผู้อื่นก็อยากจะทำอะไรเป็นของตนเอง ดังนั้น เขาต้องคอยหาคนมาทำงานให้คนแล้วคนเล่าอย่างนั้นหรือ? ในตอนที่พวกเขาก็จะอยากทำธุรกิจของตัวเอง?
สุดท้ายแล้ว อย่างไรก็ต้องทำด้วยตัวเอง
ถ้าเขาไม่สามารถทำเองได้ เช่นนั้นก็อย่าไปทำมันเลย
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋กินไอศกรีมแล้วตามเขาไปบนถนนบนภูเขา ถนนบนภูเขาเส้นนี้ปลอดภัย ไม่ใช่ถนนแบบที่อยู่ตามหน้าผา เพียงแต่ต้องเดินทางไกลออกไปอีกนิดเพื่อจะไปถึงหมู่บ้านหลี่เจี่ย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
“เกวียนวัวเล่มนี้เป็นของเธอเองเหรอจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ไม่ใช่ครับ เป็นของเลขาธิการสาขาหมู่บ้านของเราน่ะครับ” หลี่อ้ายกั๋วตอบ
“ปกติแล้ว เธอทำมาหากินอะไรหรือจ๊ะ?” หลินชิงเหอถามต่อ
“ทำนาทำไร่และก็ไปหาของป่าบางอย่างบนภูเขามาตากแห้งเก็บไว้น่ะครับ” หลี่อ้ายกั๋วไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำถามของหลินชิงเหอ ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคนที่เป็นห่วงเป็นใยซานนีจริง ๆ เท่านั้นถึงจะอยากถามสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...