ซานนีตัดสินใจในเรื่องนี้แล้ว นั่นก็คือพวกเขาจะไปที่นั่นกัน
โดยปกติแล้วหลี่อ้ายกั๋วก็ไม่น่าจะคัดค้านในเรื่องนี้ หลินชิงเหอเข้าใจดีจึงพูดว่า “หนูจะจัดการกับข้าวของที่บ้านยังไงจ๊ะ?”
โจวซานนีเป็นคนขยันขันแข็งเช่นกัน มีหมู 2 ตัวและไก่อีก 10 กว่าตัวอยู่ในสวนหลังบ้าน นับว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก
อย่างน้อยครอบครัวหล่อนก็ไม่เคยขาดแคลนไข่ไก่
“ง่ายมากเลยค่ะ แค่โอนไปให้เลขาธิการสาขาหมู่บ้านเรา ครอบครัวของเขาเพิ่งจะแต่งลูกสะใภ้คนใหม่เข้ามาในปีนี้ มีหล่อนอยู่ที่บ้านด้วย พวกเขาสามารถจัดการได้แน่” โจวซานนีตอบทันที
หลังจากยืนยันแล้วว่า พวกเขาจะไปปักกิ่งกับคุณอาสะใภ้สี่ ก้อนหินล่องหนซึ่งกดทับใจของโจวซานนีอยู่ก็ดูเหมือนจะหายไป ตัวหล่อนดูเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ
“แต่อายังมีเรื่องกังวลอยู่อีกนิดหน่อย ถ้าหนูได้ไปปักกิ่งแล้ว หนูจะพาลิ่วนีไปด้วยไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอพูดออกมาโดยไม่ได้บอกว่าสะใภ้ใหญ่เป็นคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้น
“อาสะใภ้สี่ไม่ต้องกังวลนะคะ เป็นไปไม่ได้ที่หนูจะพาลิ่วนียัยตัวขี้เกียจนั่นไปด้วย หนูโตมากับหล่อน รู้ดีค่ะว่าหล่อนเป็นคนยังไง” โจวซานนีตอบออกมาตรง ๆ
หลินชิงเหอพยักหน้ายิ้ม “อารู้จ้ะ แค่อยากให้ภูมิคุ้มกันกับหนูเท่านั้น อาพลาดกับสวี่เชิ่งเหม่ยไปแล้วครั้งหนึ่ง อาไม่อยากจะพลาดอีกเป็นครั้งที่ 2”
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” โจวซานนีผงะไปแล้วถามขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงง
หล่อนรู้จักสวี่เชิ่งเหม่ยลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ซึ่งได้แต่งงานกับชายผู้หนึ่งจากปักกิ่ง หล่อนคิดว่าคุณอาสะใภ้สี่เป็นคนแนะนำเขาให้กับสวี่เชิ่งเหม่ยเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีเบื้องหลังลึก ๆ อยู่?
ด้วยเหตุที่ว่าถ้าพวกเขาไปอยู่ที่นั่นแล้ว เธอจะต้องทำให้โจวซานนีรู้จักป้องกันตนเอง ไม่ให้ถูกสวี่เชิ่งเหม่ยปั่นหัวเอาได้ ดังนั้นหลินชิงเหอจึงอยากจะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับหล่อนไว้เสียก่อน
หลังจากได้ฟังเรื่องที่คุณอาสะใภ้สี่เล่าว่าสวี่เชิ่งเหม่ยแต่งงานกับจ้าวจวินได้อย่างไร โจวซานนีก็หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและกล่าวระบายอารมณ์ออกมา “หล่อนทำเรื่องอย่างนี้ได้ยังไงกัน? ทุกคนในครอบครัวตระกูลโจวก็อยู่ที่นั่น หากเรื่องของหล่อนถูกพูดออกไป แล้วครอบครัวตระกูลโจวจะถูกมองยังไง?”
หลินชิงเหอกล่าวว่า “เป็นความปรารถนาที่ทำให้จิตใจหล่อนคิดทำเรื่องอย่างนี้ออกมาได้ หล่อนจะเคยคำนึงหรือจ๊ะว่าครอบครัวตระกูลโจวจะถูกตำหนิหรือเปล่า”
หล่อนถูกแม่เฒ่าหูชักจูง จากนั้นก็เริ่มต้นคิดแผนในเรื่องนี้ถึงวิธีที่จะได้แต่งเข้าครอบครัวจ้าว โดยตลอดเวลาที่ทำเรื่องนี้ดูเหมือนว่าหล่อนไม่เคยมีครอบครัวตระกูลโจวอยู่ในใจเลย
“คุณย่ารักชื่อเสียงเป็นที่สุด คุณย่าคงจะต้องโกรธมากเลยใช่ไหมคะ?” โจวซานนีถามต่อ
“ใช่จ้ะ คุณย่าต้องนอนป่วยอยู่ถึง 2-3 วันทีเดียว” หลินชิงเหอตอบ
“หนูดูไม่ออกเลยค่ะว่าหล่อนจะเป็นคนอย่างนี้!” โจวซานนีพูดด้วยความโกรธ
“เป็นธรรมดาที่หนูจะดูไม่ออก” หลินชิงเหอตอบ และพูดอยู่ในใจว่า เธอเองก็ดูไม่ออกเช่นกัน ในครั้งแรกที่เห็น เธอรู้สึกว่าหล่อนอ่อนโยนและอ่อนแอ ใครจะไปรู้ว่าหล่อนจะเป็นดอกบัวขาว(1) ไปเสียได้
แถมยังไม่ได้เป็นในระดับที่ต่ำด้วย
“สวี่เชิ่งเฉียงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน หลังจากที่หล่อนพาเขาไปอยู่ที่นั่น เขาก็ไปทำร้ายร่างกายคนอื่นจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะคู่กรณีคนนั้นไปพูดว่าเขาต้องพึ่งพาเส้นสายของครอบครัว” หลินชิงเหอเอ่ย
โจวซานนีตกใจอีกครั้ง
“อาสี่ของหนูคิดว่าหลานชายของตัวเองเป็นนกที่ดี(2) เขาก็เลยจัดการให้หลานชายได้เข้าเรียนในโรงเรียนภาคค่ำ คอยดูเถอะ อาเดาไม่ผิดหรอกว่าเขาจะต้องก่อเรื่องขึ้นแน่” หลินชิงเหอกล่าว
แต่เธอไม่สนใจเรื่องนี้เลย เพราะรู้นิสัยสามีของตนเองดี ในเมื่อเธอไม่สามารถไปห้ามหรือควบคุมทุกอย่างได้ เธอก็จะปล่อยให้ชิงไป๋ได้เห็นด้วยตัวเอง
บางคนเป็นคนเลว แต่ยังไม่ถึงรากและยังสามารถดึงกลับมาได้ ในขณะที่บางคนเลวจนถึงแก่น
หลังจากที่ได้เห็นว่าสวี่เชิ่งเหม่ยคือดอกบัวขาว หลินชิงเหอก็ขึ้นบัญชีดำครอบครัวตระกูลสวี่
โจวซานนีไม่เคยรู้ว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้นที่ปักกิ่ง เธอคิดมาตลอดว่าทุกอย่างราบรื่นดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม
ทำไมเปิดอ่านไม่ได่...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...