ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม นิยาย บท 557

บทที่ 557 เกรงว่าเธอจะจนปัญญาช่วยทาสลูกสาวคนนี้แล้ว!

หู่จือก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้าสะใภ้ถึงให้เขาไปเรียน ไม่ว่าอย่างไรขอเพียงตัวเองยังไม่เก่งพอก็สามารถที่จะเรียนได้

ช่วงเวลาที่เขาดูแลร้าน ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรมามาก ตอนนี้กิจการขายของแผงลอยของเขานับวันยิ่งดีขึ้น ๆ ก็เพราะเขามีพื้นฐานว่าควรรับมือกับลูกค้าอย่างไรตั้งแต่แรก

ไม่อย่างนั้นเด็กบ้านนอกอย่างเขาคนเดียวจะสามารถออกไปตั้งแผงลอยได้หรือ? เขาไม่ได้มีความกล้าที่จะทำอย่างนั้น

ธุรกิจก็คือคน นี่คือสิ่งที่น้าสะใภ้สอนเขา หากยังเป็นคนดี ๆ ไม่ได้แล้วอยากไปทำธุรกิจ นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง

หู่จือเห็นสภาพสวี่เชิ่งเฉียงในวันนี้แล้ว ในใจของเขาก็อยากจะพูดให้อีกฝ่ายฟังสักสองประโยคจริง ๆ แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะพูดกับเขาเลยสักคำ และยิ่งเห็นว่าเขาขายได้ดีขนาดนั้น ส่วนตัวเองขายไม่ดีด้วยยิ่งแล้วใหญ่

หลินชิงเหอขมวดคิ้วพูด “หรือว่าร้านของเขาขายไม่ดีเท่าเธอ?”

สวี่เชิ่งเฉียงนิสัยเป็นอย่างไร มาที่ปักกิ่งยังเรียนรู้การเป็นคนดีไม่ได้เลย คนแบบนี้ไปตั้งแผงลอยขายของ เธอไม่อยากจะคิดเลยสักนิดเดียว

ถ้าพูดให้รุนแรงหน่อยก็คือเขาเป็นประเภทที่อยากจะทำอะไรก็ทำ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนั่นเอง และทั้งสองบ้านต่างก็ตัดขาดจากกันแล้ว

หู่จือพูดอย่างไม่ได้ลำพองใจอะไร “เป็นเพราะน้าสะใภ้สอนผม ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาน่ะครับ น้าสะใภ้บอกผมประจำว่าทำธุรกิจต้องมีมารยาทกับลูกค้า แต่สวี่เชิ่งเฉียงไม่มีใครสอนเขา ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะทำได้ไม่เท่าผม”

“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสอนเขา พอจะมีคนสอนเขา เขาก็ไม่เอาต่างหาก” หลินชิงเหอพูด

หลินชิงเหอเคยถูกสวี่เชิ่งเหม่ยฝังทั้งเป็น*มาก่อน ดังนั้นจึงไม่เคยทำดีกับสวี่เชิ่งเฉียง แต่ชิงไป๋ของเธอช่างมีจิตใจดีงาม

*ทรยศ หักหลัง

เขาหวังดีกับหลานตัวเองกระทั่งเคยส่งอีกฝ่ายไปเรียนหนังสือ แต่ดูที่สวี่เชิ่งเฉียงทำสิ?

เธอคร้านจะพูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว ขนาดนิ้วทั้งห้ายังมีสั้นยาวไม่เท่ากัน ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะบังคับใจใคร และก็ไม่คิดจะพูดให้มากความ

และก็ไม่ถือว่าติดค้างอะไรเขาด้วย

หลังจากหลินชิงเหอพูดจบแล้ว เธอก็ยังคงพูดกับหู่จือต่อ “ทำธุรกิจของตัวเองให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจมากขนาดนั้น ต่อให้เธอบอกเขาก็ไม่แน่ว่าเขาจะฟังเธอ ทำตัวเองให้ดีก็พอรู้ไหม?”

“เชื่อฟังน้าสะใภ้ของเธอนะ” โจวชิงไป๋เปิดปากพูด

หู่จือพยักหน้า แสดงออกว่าตกลง

“ไปหยิบถ้วยชามตะเกียบเถอะจ้ะ”หลินชิงเหอพูด

ปีนี้เธอไม่เกรงใจขึ้นค่าอาหารเป็นคนละ 10 หยวน แต่แม้ว่าจะขึ้นเป็น 10 หยวน ก็ไม่ถือว่ามากมายอะไร หากไปกินข้างนอก 10 หยวนนี้ก็จะได้อาหารไม่เท่ากับกินที่นี่อย่างแน่นอน

ข้าวผัดไข่หนึ่งจาน หมูสามชั้นผัดมันฝรั่งหนึ่งจาน ผัดผักดองใส่เนื้อ ยังมีผัดผักกวางตุ้งสองจาน ที่เหลือก็คือซุปซี่โครงสาหร่ายทะเลหนึ่งหม้อ

อาหารหลักก็คือหมั่นโถว เป็นหมั่นโถวแป้งสาลีกับหมั่นโถวข้าวโพด

หมั่นโถวข้าวโพดเป็นความต้องการของหลินชิงเหอ เพราะหลังจากที่เธอท้องเธอก็ชอบกินธัญพืชไม่ขัดสี

คนที่มากินข้าวก็คือเจ้ารอง เจ้าสาม กังจือ หู่จือ นอกนั้นก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เดือนเมษายนซื่อนีถึงจะมาเข้าเรียนเป็นจริงเป็นจัง จากที่ก่อนหน้านี้อยู่ช่วยโจวเอ้อร์นีเลี้ยงเด็กแฝด

“ผมได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อน บ้านของคุณน้าก็กินข้าวอย่างนี้นะครับ” ขณะที่กินข้าวอยู่นั้น กังจือก็พูดพลางกัดหมั่นโถวและคีบผัดผักดองใส่เนื้อกินไปด้วย

“นั่นก็เกินไป” หลินชิงเหอหัวเราะออกมา

“ก่อนหน้านี้จะมีอาหารเยอะขนาดนี้ได้ยังไง” โจวกุยหลายค้อนตาเหลือก

“ไม่ใช่เหรอ? ปิดเทอมฤดูร้อนที่แล้วหยางหยางเขาก็พูดแบบนี้นะ” กังจือพูด

“อาหารเยอะขนาดนี้น่ะไม่มีหรอกจ้ะ เป็นกับข้าวสองสามอย่างก็เท่านั้น” หลินชิงเหอพูด

ตอนนั้นที่ยังอยู่ในชนบท โจวชิงไป๋ต้องไปทำงานที่ไร่นาทุกวัน และเธอก็ไม่อยากจะทำงานที่ไร่นาแบบนั้นด้วย ดังนั้นรายรับกับภาระงานของเธอจึงเทียบเขาไม่ได้ แต่เรื่องอาหารการกินของเขา เธอก็ควรจะให้เขากินอย่างสมเหมาะกับการทำงานหนักไม่ใช่เหรอ?

ดังนั้นแม้ไข่กับเนื้อจะมีปริมาณไม่มากนัก แต่ก็มีกินในทุก ๆ วัน เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอเอาวัตถุดิบมาเยอะถึงขนาดนั้น

เพราะแนวคิดแปลก ๆ ของเธอ หลินชิงเหอย่อมไม่ยอมเก็บเงินเอาไว้ และให้โจวชิงไป๋ทำงานทั้งวันจนไม่ได้กินข้าวอิ่มท้องแบบนั้นไม่ได้

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำกับข้าวอร่อยอะไร และเขาก็ไม่กล้าว่าอะไรเธอได้เช่นกัน แต่เธอก็ไม่อาจทนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้อยู่ดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม