ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม นิยาย บท 89

บทที่ 89 เป็นลมแดด

เธอเตรียมอาหารเช้าอันอุดมคุณค่าทางอาหารให้กับเด็ก ๆ จากนั้นก็ปล่อยให้เจ้าใหญ่กับเจ้ารองสองพี่น้องออกจากบ้านไป เด็กทั้งสองช่างกระฉับกระเฉงจริง ๆ

เด็กครอบครัวอื่นถูกบังคับให้ไปทำงานเพราะสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา แต่เด็กชายทั้งสองกลับไปทำงานด้วยความกระตือรือร้น

หลินชิงเหอจะทำอะไรได้หรือ? ตอบตามอย่างที่คาดไว้ก็คือ เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย

หลังให้อาหารหมูกับไก่เสร็จ หญิงสาวก็เริ่มนวดแป้งเตรียมทำซงโหยวปิ่ง(1)เป็นอาหารกลางวัน

เธอหยิบเห็ดมาหนึ่งกำมือและแช่น้ำให้พองตัว

ไส้ซงโหยวปิ่งล้วนอุดมไปด้วยของน่ากิน มีเห็ดที่แช่น้ำจนนิ่มหั่นเต๋า เนื้อสะโพก แตงกวาสามผลหั่นแท่ง และไข่คน เมื่อบรรจุลงเป็นไส้ในซงโหยวปิ่งแล้ว มันต้องมีรสชาติอร่อยล้ำแน่ ๆ

จากนั้นเธอก็เตรียมมะเขือเทศจำนวนหนึ่งและถั่วเขียวต้มน้ำตาลหนึ่งถ้วย

อาหารเหล่านี้คือสิ่งที่หลินชิงเหอจะเอาไปส่งให้ครอบครัวของเธอที่ทำงานในแปลงนา

ปกติเธอจะเก็บของพวกนี้ไว้ในมิติของเธอและหยิบออกมาหลังไปถึงที่หมายแล้ว ทำให้ไม่หกล้นกระฉอกระหว่างทาง

หลังทำอาหารเสร็จก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าเท่านั้นและยังไม่ถึงสิบโมง เธอรอจนกระทั่งถึงเวลาสิบโมงครึ่งแล้วถึงได้ออกไปส่งอาหารพร้อมกับเจ้าสาม

“เจ้าสาม แม่จะสอนให้วาดรูปนะ” หลินชิงเหอที่อยู่กับบ้านก็เริ่มสอนเจ้าสามให้วาดรูป เธอพบว่าเขามีพรสวรรค์เรื่องการวาดรูปจริง ๆ คงต้องบอกว่าต่อให้เด็กน้อยซุกซนเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่พอได้วาดรูปเท่านั้นแหละเขาถึงจริงจังขึ้นมา

ครั้งหน้าเธอจึงตั้งใจว่าจะซื้อดินสอสีกลับมาให้เจ้าสามเพื่อให้เขาวาดรูปได้ดีกว่านี้

“ฉันล่ะอิจฉาสะใภ้สี่จริง ๆ ที่ได้อยู่กับบ้านและไม่ต้องออกมาทำงานนอกบ้าน” สะใภ้รองที่กำลังทำงานอยู่ในแปลงนาเอ่ยด้วยอาการเหนื่อยแสนสาหัส เอวและหลังของหล่อนปวดยอกไปหมดจนหล่อนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา

“แต่ก่อนคุณบอกว่าหล่อนขี้เกียจนักไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้อิจฉาหล่อนเสียแล้วล่ะ?” พี่ชายรองถาม

“จะอะไรเสียอีกล่ะคะ? ถ้าไม่ใช่เพราะคุณไร้ความสามารถ ฉันก็คงไม่ต้องออกมาทรมานตากแดดตากลมในวันนี้หรอก!” สะใภ้รองยังคงอดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปด

ตอนนี้แต่ละครอบครัวจะได้รับมอบหมายให้เก็บเกี่ยวในที่ดินผืนหนึ่ง คนทั้งหมู่บ้านไม่ได้ทำงานด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่จะแยกกันทำงานแบบครอบครัวใครครอบครัวมันต่อที่ดินหนึ่งผืน ใครทำเสร็จก่อนก็ได้พักก่อน ถ้าทำไม่เสร็จก็ต้องทำต่อโดยไม่มีเวลาหยุดพักทานอาหารกลางวัน

ดังนั้นครอบครัวตระกูลโจวก็จะได้ทำงานในที่ดินผืนหนึ่ง

โจวชิงไป๋ได้รับมอบหมายให้เก็บเกี่ยวในที่ดินอีกผืนหนึ่ง แต่อย่าดูถูกความสามารถของเขาเชียว ตัวเขาคนเดียวสามารถทำงานได้เท่ากับคนสองคนเลยทีเดียว

พี่ชายรองเบ้ปาก “ถ้าคุณตำหนิผมว่าไร้ความสามารถอีก คุณก็ไปหาผู้ชายคนใหม่ซะเถอะ”

คำพูดนี้ทำให้สะใภ้รองโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

“ทำงานไปสิ พวกแกมัวพูดหาอะไรกันอยู่” ท่านพ่อโจวกล่าวขึ้น

“พูดกันทั้งวันแบบนี้เมื่อไหร่งานจะเสร็จล่ะ” สะใภ้สามตำหนิ

“ผมอยากรู้จังเลยว่ามื้อเที่ยงเราจะได้กินอะไร” พี่ชายสามเอ่ยขึ้นมาด้วยอาการอ่อนแรง

“ครั้งนี้คุณแม่อยู่บ้านน่ะค่ะ คิดว่าจะมีของอร่อยอะไรให้กินล่ะคะ?” สะใภ้สามถอนหายใจ

ถ้าหล่อนหรือสะใภ้ใหญ่เป็นคนทำอาหารอยู่ที่บ้าน มันก็คงจะดีกว่านี้ แต่เมื่อครั้งนี้แม่สามีเป็นคนดูแลเรื่องที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าการได้ทานข้าวโพดบดจี่เคียงกับผักดองและจับฉ่ายถือเป็นอาหารดีที่สุดที่ได้ทานแล้ว

สะใภ้ใหญ่เองก็ไม่หวังอะไรกับเรื่องนี้

“คุณแม่ทำอะไรมาคุณก็ทานไปเถอะ” พี่ชายใหญ่ตำหนิหล่อน

“ตอนนี้คงไม่แย่นักหรอกค่ะ หลังการเก็บเกี่ยวครั้งนี้แล้วก็จะมีการแจกจ่ายอาหาร แถมปีนี้เราก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เหลือเฟืออีก เราควรหาโอกาสทานอะไรดี ๆ ที่บ้านเป็นครั้งคราวนะคะ” สะใภ้ใหญ่ตอบ

การทำงานในไร่นาเป็นงานที่กินพลังมาก หากพวกเขาไม่ได้ทานอาหารดี ๆ แล้วร่างกายของพวกเขาจะรับไหวได้อย่างไร?

“เรายังไม่แยกครอบครัวกันไม่ใช่เหรอ? คุณแม่ทำอะไรมาคุณก็ทานซะเถอะ คุณตำหนิคุณแม่ได้งั้นเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าคุณแม่ไม่พอใจกับสะใภ้สี่ขนาดไหน” พี่ชายใหญ่พูด

ถึงเขาจะเป็นคนหัวช้าแต่เขาก็รู้เรื่องนี้

เพราะแม่ของพวกเขาไม่พอใจกับชีวิตอันหรูหราฟุ่มเฟือยของสะใภ้สี่ที่ได้กินไข่หรือเนื้อหมูทุกวัน จนนางต้องบ่นอยู่เนือง ๆ

แล้วสะใภ้สี่เองก็ต่อต้านนาง ดังนั้นเรื่องบาดหมางใจจึงบังเกิด

“ครอบครัวเจ้าใหญ่แยกตัวออกไปแล้วนะคะ พวกเขาจะกินจะอยู่ยังไง แม่ของเจ้าใหญ่ล้วนเป็นคนจัดการ ไม่อยากเชื่อเลยว่าทำไมคุณแม่ถึงต้องไปพูดอะไรกับบ้านนั้นด้วย” สะใภ้ใหญ่ตอบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม