ซูฉงยิ้มให้โจวเหิง ความรู้สึกเศร้าและอาลัยในใจของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นคำอวยพร
“น้องเหิง ขอบคุณเจ้าที่สอนพวกเรามากมาย พวกเราจะจดจำเจ้าไว้ตลอดไป”
ซูหวามองไปที่โจวเหิงด้วยสายตาจริงใจ ก่อนกล่าวคำขอบคุณ
ซูเสี่ยวหลิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มบางๆ
โจวเหิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าก็เช่นกัน จะจดจำช่วงเวลานี้ไว้ตลอดไป”
ในใจของเขา คิดอยู่ว่าหากเขาต้องกลับบ้านจริงๆ เขาจะช่วยแก้ปัญหาที่ซูฉงและซูหวาไม่ได้เข้าเรียน แม้มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวซูซานหลาง แต่สำหรับเขาแล้วกลับไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากเขาได้กลับบ้าน เขาจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน
ข่าวนี้เดิมทีเขาตั้งใจจะบอกตอนนี้ แต่พอคิดดูอีกครั้ง เขาก็เลือกที่จะเก็บไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ชัดว่าเมื่อไรจะได้กลับไป และคิดว่าควรเก็บไว้เป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับครอบครัวซูในภายหลังจะดีกว่า
ตอนเย็นขณะรับประทานอาหาร ตาเฒ่าอู๋พูดขึ้นว่า “อีกไม่กี่วันข้าจะพาเด็กน้อยคนนี้ออกไปข้างนอก ให้ได้เห็นโลกกว้างบ้าง”
ซูซานหลางและจ้าวซื่อมองซูเสี่ยวลู่ด้วยความรู้สึกสงสาร
กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซูเสี่ยวลู่กลับรีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใสว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงข้านะเจ้าคะ ข้าจะเป็นเด็กดี ไม่ทำให้อาจารย์ลำบากแน่นอน”
ตาเฒ่าอู๋เหลือบมองซูเสี่ยวลู่แวบหนึ่งก่อนพูดเสริมว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลนางเอง ไม่ปล่อยให้นางสร้างปัญหา”
จ้าวซื่อคิดในใจว่า เรื่องที่กังวลไม่ใช่เรื่องนั้นเลย นางและซูซานหลางเป็นห่วงว่านางยังเด็กนัก การออกไปข้างนอกจะทำให้นางคิดถึงบ้านและร้องไห้หรือไม่
ตอนนี้ต้องติดตามอาจารย์เดินทางไปที่ต่างๆ จะเป็นการเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า
ซูซานหลางเองก็รู้สึกสงสารลูกสาวอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นความว่าง่ายของซูเสี่ยวลู่ เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา
ซูเสี่ยวลู่ที่เลือกเรียนหมอ ย่อมต้องเผชิญกับความลำบาก ต่อให้ซูซานหลางจะสงสารลูกมากเพียงใด เขาก็ไม่อาจขัดขวางความตั้งใจของนางในการเรียนรู้และเติบโตได้
ดังนั้น ซูซานหลางและจ้าวซื่อจึงมองหน้ากัน และเลือกที่จะเก็บความรู้สึกสงสารไว้ในใจ ซูซานหลางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนพูดว่า “เช่นนั้นก็ได้ ซื่อเม่ยก็ขอฝากไว้กับพี่ใหญ่แล้ว”
พูดจบ เขามองซูเสี่ยวลู่ด้วยสายตาอ่อนโยนและกล่าวว่า “ซื่อเม่ย เมื่ออยู่ข้างนอกเจ้าต้องเชื่อฟังอาจารย์ของเจ้านะ เข้าใจหรือไม่?”
จ้าวซื่อเองก็ลูบศีรษะซูเสี่ยวลู่ด้วยความอ่อนโยน พลางพูดว่า “พ่อกับแม่จะรอเจ้ากลับมาที่บ้านนะ”
ซูเสี่ยวลู่พยักหน้าเล็กน้อย นางก้มหน้าลงและเริ่มกินอาหารต่อ โดยไม่ยอมให้ซูซานหลางและจ้าวซื่อเห็นหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาของนาง
......
ในยามค่ำคืน จ้าวซื่อถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “พ่อ ข้ารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบีบหัวใจข้าไว้ เฮ้อ...”
ซูซานหลางเองก็ยังไม่หลับ เขาเอื้อมมือโอบจ้าวซื่อเข้ามาในอ้อมอกก่อนจะพูดว่า “ข้าก็เหมือนกัน แต่การที่ซื่อเม่ยได้เรียนรู้วิชาแพทย์นั้นเป็นเรื่องดี อนาคตมีความรู้ติดตัวไว้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ ต่อให้แต่งงานไปแล้ว ครอบครัวฝ่ายชายก็จะมองนางในแง่ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา