หลายคนในวังหลวงต่างบอกว่าอวิ๋นเช่อคนนี้เป็นเด็กที่ฉลาดเฉียบแหลมจริง ๆ แต่ว่าเรื่องที่บอกว่าเป็นเด็กซุกซนชอบก่อเรื่องก็เป็นความจริงเช่นกัน เขาไม่รู้จักเกรงกลัวฟ้าดินสักนิด ทำเอาคนในวังหลวงทั้งหลายถูกเขาปั่นป่วนจนอลหม่านวุ่นวายไปหมด พระสนมในพระราชวังทั้งหลายเมื่อเห็นเขาต่างพากันเดินอ้อมเขาไป
ฮองเฮาเอ่ยพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “เด็กคนนี้น่าจะมีคนที่ทำให้เกรงกลัวสักคน”
ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยอย่างที่ว่า เมื่อก่อนตัวเองเข้มงวดจนเกินไป จึงสั่งสอนลูกชายให้อยู่แต่ในกรอบไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางและปฏิบัติตามกฎระเบียบจนเคร่งครัดเกิน นิสัยที่มีความซุกซนขี้เล่นเมื่อแต่ก่อนก็ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อย
เขาโชคดีมากที่หลานชายตัวน้อยของพระองค์ไม่ได้เหมือนพ่อของเขา พ่อของเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป จึงเหมือนถูกผูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ สิ่งที่ทำให้พระองค์รู้สึกชื่นชมก็คือความยืนหยัดอย่างแน่วแน่และความฮึกเหิมในตัวของเสี่ยวอวิ๋นเช่อ ตลอดเวลาทำตัวเหมือนเป็นลูกกระทิงตัวหนึ่งอย่างไงอย่างงั้น ขอเพียงแค่ขัดเกลาเล็กน้อย เด็กน้อยเช่นนี้ก็จะมีอนาคตที่ก้าวไกล
อย่างไรก็ตามพระองค์ในฐานะที่เป็นปู่ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็รู้สึกว่าเสี่ยวอวิ๋นเช่อดีไปทุกอย่าง ดูแล้วสบายตา และยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอวิ๋นเช่อยังรู้จักเอาอกเอาใจเขาด้วย
หลานชายคนนี้เขาไม่มีทางยอมปล่อยมือไปหรอก
แต่จะทำอย่างไรดี? ยัยหนู่เหลิ่งชิงฮวนผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่าย ๆ ในช่วงห้าปีที่ห่างหายไป ยิ่งหัวแข็งดื้อรั้น เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน
ข้าผู้นี้คือใครกัน เกิดมาเป็นถึงราชาปกครองทั่วใต้หล้า เมื่อลองคิดพิจารณาดูแล้ว แม้ว่าเหลิ่งชิงฮวนจะเป็นเหมือนเสือชีตาร์ แต่ก็ต้องฝึกฝนให้ยอมจำนนปฏิบัติตาม ภายภาคหน้าจะได้ใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นควรจะลงมืออย่างไรดี?
ตอนที่ฮ่องเต้กำลังกังวลใจอยู่นั้น ขุนนางอาวุโสด้านล่างต่างพากันส่ายหัวและบ่นพึมพำอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่พระองค์ไม่ได้ฟังแม้แต่คำเดียว
จนกระทั่งผู้ติดตามข้างกายกระซิบเตือนเบา ๆ ที่ข้างหูของพระองค์ “ฝ่าบาท? ฝ่าบาท?”
ฮ่องเต้ถึงทรงยืดพระวรกายให้ตรง กระแอมไอเบา ๆ และถามไถ่เสนาบดีเหลิ่ง “เหลิ่งอ้ายชิง เรื่องนี้เจ้าคิดอย่างไร?”
เสนาบดีเหลิ่งก็ไม่ได้มีสมาธิที่จะฟัง เอาแต่คิดถึงเสี่ยวอวิ๋นเช่อกับเหลิ่งชิงฮวน อยู่ ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสถามขึ้นมากะทันหัน จึงรีบดึงสติกลับมา “กระหม่อมคิดว่า สิ่งที่พูดมามีเหตุผล”
ฮ่องเต้ต้องการที่จะลวงคำพูดจากปากเขา อยากรู้ว่าเมื่อครู่นี้ขุนนางทั้งหลายพูดกันจอแจว่าอะไรบ้าง เสนาบดีเหลิ่งพูดส่งกลับมามีเพียงประโยคเดียว
ฮ่องเต้โบกมือพัลวัน “ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามคำพูดของพวกท่านทั้งหลายได้เลย”
ทันใดนั้นก็มีขุนนางคนหนึ่งออกจากแถวมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสม ถึงแม้ครั้งนี้องค์รัชทายาทเสิ่นจะฝ่าฝืนพระราชโองการออกจากอวี้โจวไปก็จริง แต่ก็เพราะมีเหตุผลอื่น นั้นก็คือเพื่อต้องการไปตามสืบแผนการชั่วร้ายของหนานจ้าว มีคำกล่าวไว้ว่าหากปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที้อันห่างไกลและเกิดเรื่องเร่งด่วนสามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งกษัตริย์ ดังนั้นไม่อาจตัดสินโทษเขาเพียงเพราะละทิ้งในหน้าที่ที่สั่งได้”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจทันทีว่า คนที่กล้าออกมาพูดก่อนหน้านี้ก็คือออกมากล่าวหาเสิ่นหลินเฟิง ว่าเขาติดตามเหลิ่งชิงฮวนไปยังหนานจ้าว โดยไม่คำนึงถึงภาระหน้าที่ในการบรรเทาภัยพิบัติของตัวเอง ปล่อยเรื่องยุ่ง ๆ ทั้งหลายให้ขุนนางคนอื่นจัดการ
ตัวเองรู้สึกขัดตาไม่ชอบเสิ่นหลินเฟิง หรือว่ามันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ? มากจนขุนนางในท้องพระโรงทำอะไรต้องค่อยมองดูอารมณ์ของตัวเองและยังแอบใช้มีดแทงข้างหลังเสิ่นหลินเฟิง?
หรือว่าคนพวกนี้จะไม่เข้าใจหลักความจริงที่ว่า “ตีเพราะเป็นห่วง ด่าก็เพราะรัก ทั้งห่วงทั้งรักจึงหยอกเล่นหน่อยไม่ได้หรือ?”
ถึงแม้ตัวเองไม่ได้ทำดีกับเสิ่นหลินเฟิงนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวเองจะไม่ชื่นชมเขา
ลูกสาวของตัวเองกำลังรอที่จะแต่งงานกับเขาอยู่นะ
ดังนั้นคำที่เอ่ยทูลมาอย่างประจบของคนผู้นี้จึงประจวบเหมาะกับความตั้งใจของฮ่องเต้พอดี
“ข้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความคิดที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ดังนั้นในภายภาคหน้าหากมีการบรรเทาภัยพิบัติและก่อความวุ่นวายขึ้นอีก อ้ายชิงท่านนี้ควรจะออกหน้าทำในสิ่งที่ควรกระทำเช่นนี้อีก เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับทุกคนดูเอาไว้ ลองมาคิด ๆ ดูแล้ว ดูเหมือนว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีโรคกาฬโรคออกอาละวาดในพื้นที่ปินโจว อ้ายชิงท่านนี้ ข้าจะออกราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้ตรวจการ ให้เดินทางไปที่ปินโจวเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาดตั้งแต่วันนี้”
เมื่อสักครู่นี้พวกขุนนางเพิ่งจะได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้ และยังรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอยู่เลย ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน มามอบหมายงานหนักเช่นนี้ให้กับตัวเอง เป็นการยกหินทุบเท้าตัวเองเสียจริง ๆ เขาได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขอบคุณและรับพระราชโองการ
เพิ่งจะรับพระราชโองการเสร็จ ก็มีมหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ด้านนอกท้องพระโรงเข้ามาทูลรายงาน “ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องฉีเคลื่อนทัพกลับมาเมืองหลวงพร้อมด้วยชัยชนะแล้วและตอนนี้กำลังรออยู่นอกห้องพระโรงพ่ะย่ะค่ะ”
เร็วขนาดนี้เลยรึ? อยากกลับมาบ้านไวขนาดนั้นเลยหรือเร็วเหมือนกับลมกรดเชียว ลูกชายของตัวเองคนนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวพอหรือยัง มาต่อให้จบบบบบบ...
แอดขาาาาาา 794 และ 797 ตกหล่นหายไปคะแอด ช่วยเก็บมาหน่อยคะ คิคถึงงงงงงงงงง...
แอดขาาาาาา ตอน794และ797 หายไปคะ แอดทำตกหล่นช่วยเก็บกลับมาหน่อยคะ...
อยากทราบว่ามีทั้งหมดกี่ตอนคะ....
หยุดนานแล้วนะคะ ผู้เขียน มีอัพเดทต่อไหมคะ...
ขอบคุณทุกๆๆคนนะคะที่มาบอก แต่พอให้เตรียมทิชชู่นี่ปวดตับ ปวดใจก่อนล่ะ...
อยากรู้จังว่าพระเอกรู้ความจริงว่าผู้หญิงในคืนนั้นเป็นนางเอกตอนไหนคะ ใครอ่านแล้วบอกหน่อยค่ะรบกวนสปอยหน่อยยย...
ขอบคุณนะคะที่หานิยายสนุกๆๆมาให้อ่าน จะรออ่านทุกวันค่ะ...
ขอบคุณมากๆค่ะที่อัพเดทต่อจะตั้งใจอ่านต่อไป...ตอนเรียนยังไม่ตั้งใจขนาดนี้🤗😘😄😅😊...
อย่าเท..กลางทาง..นะแอดนะ😁😁😁...