ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD นิยาย บท 292

ปุด ปุด!

ควันหนาลอยออกมาจากกระทะเหล็กพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปในอากาศ

ปู้ฟางยกฝาหม้อขึ้น ทำให้กลิ่นของน้ำแกงลอยล่องออกไป อาหารที่เขากำลังเตรียมยังเป็นซุปครีมเปรี้ยวหวานเช่นเดิม เขามีตัวเลือกอื่นอีกหรือไร แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่ต้องเตรียมอาหารจานเดิมซ้ำๆ เพราะเขาถูกสั่งให้มาประจำอยู่ที่ครัวของวัตถุดิบธรรมดา วัตถุดิบต่างๆ ที่ชายหนุ่มมีอยู่ในมือจึงจำกัดจำเขี่ยเหลือเกิน

ชิ้นมันฝรั่งนับไม่ถ้วนลอยฟ่องอยู่ในซุป พอๆ กับเห็ดที่เต้นเร่าไปมาขณะที่ซุปกำลังเดือดจนเป็นฟองปุด

แม้ซุปจะสุกทั่วดีแล้ว แต่ปู้ฟางก็ยังปล่อยให้ไฟในเตาติดอยู่เช่นนั้นราวกับว่าไม่มีความคิดจะดับไฟแต่อย่างใด ชายหนุ่มใช้กระบวยตักซุปให้ตัวเองหนึ่งชามแล้วเดินไปที่มุมหนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ตักซุปเข้าปากไปเต็มช้อน

ห่างออกไปพอประมาณ พ่อครัวประจำกองทัพคนอื่นๆ กำลังขะมักเขม้นทำอาหารของตนเองอยู่ สภาพจิตใจของแต่ละคนไม่ดีเท่าไรเพราะเพิ่งเสร็จสิ้นจากการเดินทางไกล ระหว่างทางพวกเขาพบเจอกับความกลัวและความกังวลใจไม่น้อย เส้นประสาทของทุกคนตึงเครียดตลอดการเดินทาง เพิ่งจะมาผ่อนคลายลงก็ตอนที่ถึงที่หมายนั่นเอง ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจจริงๆ จังๆ กันเสียที

พอปู้ฟางซดซุปครีมเปรี้ยวหวานจนหมดชาม เขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ค่ำคืนของที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเหน็บหนาวยิ่งนัก ความรู้สึกที่ว่าซุปอุ่นๆ ได้หลั่งไหลไปถึงท้องจึงทำให้สบายกายเป็นอย่างยิ่ง

หลงไฉลากร่างเหนื่อยล้าของตนตรงมาหาปู้ฟาง จมูกกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมของซุปครีมเปรี้ยวหวานที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาทันที

เขาตักซุปให้ตัวเองหนึ่งชาม แล้วเดินถือชามมานั่งข้างๆ ปู้ฟาง ก่อนจะสูดกลิ่นซุปเข้าจมูก แล้วเริ่มดื่มซุปลงคอ

หลังจากที่พ่อครัวประจำกองทัพตระเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็แจกจ่ายอาหารเหล่านั้นไปให้เหล่าทหารที่กำลังตั้งค่าย และเพราะวัตถุดิบที่พวกเขาใช้ทำอาหารล้วนเป็นวัตถุดิบพลังปราณ เหล่าทหารจึงมีกำลังกายเต็มเปี่ยมหลังจากกินอาหารเข้าไป

และนี่เองคือเหตุผลของการมีโรงครัวประจำกองทหาร

ดวงตาของจูเยวี่ยเบิกกว้างเมื่อเห็นทหารลาดตระเวนคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาพร้อมร่างที่อาบไปด้วยเลือด ก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินมาถึงเขาก็ล้มลงกับพื้นไปเสียก่อน หัวใจของจูเยวี่ยบีบแน่นไปชั่วขณะก่อนจะเงยหน้าขึ้น มองความมืดมิดที่โอบล้อมอยู่รอบตัว มันดูเหมือนปากของปีศาจร้ายไม่มีผิด

“ให้ตายเถิด! มีการซุ่มโจมตี!”

จูเยวี่ยตะโกนออกมาด้วยความโกรธ เขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการตะโกน ดังนั้นทหารทั้งหมดที่กำลังกินอาหารซึ่งพ่อครัวประจำกองทหารตระเตรียมให้จึงได้ยินเสียงตะโกนนี้ เส้นประสาทของพวกเขาเขม็งเกลียวขึ้นมาทันที ต่างพากันกระโจนออกจากจุดที่นั่งอยู่ รีบเข้ามารวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมสู้

แสงหนึ่งส่องสว่างขึ้น และแสงอีกแสงหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นตามมา

อสูรเวทดวงตาแดงก่ำจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากความมืดมิด พวกมันพุ่งตรงเข้ามายังค่ายของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับอย่างรวดเร็ว แล้วกระโจนเข้าใส่เหล่าทหารอย่างบ้าคลั่ง

จูเยวี่ยพาทหารกลุ่มหนึ่งออกไปเผชิญหน้า พวกเขาต่างพากันสังหารอสูรเวทลงทีละตัว

“มีมาอีกฝูงแล้ว! ให้ตายเถิด! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” จูเยวี่ยโกรธจัดและบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงกระบี่ออกไป ต้องได้ตัดหัวของอสูรเวทหนึ่งหัว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังหารอสูรเวทเหล่านี้เพราะระดับของพวกมันไม่ได้สูงนัก

สิ่งเดียวที่ทำให้อสูรเวทเหล่านี้น่ากลัวก็คือจำนวน

ตอนนั้นเองจูเยวี่ยก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสายธนูถูกขึงจนตึง ลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาจากความมืดมิดด้วยความเร็วและพลังที่น่าเกรงขาม มันพุ่งผ่านอากาศเข้ามาราวกับต้องการฉีกแผ่นฟ้าให้เป็นสองส่วน ลูกธนูตรงลิ่วมายังศีรษะของจูเยวี่ย

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง จูเยวี่ยก็คำรามออกมาแล้วใช้กระบี่ปัดลูกธนูทิ้ง

ลูกธนูรึ… แปลว่าต้องมีทัพศัตรูอยู่ข้างหน้า

หัวใจของจูเยวี่ยบีบแน่นไปชั่วขณะ อึดใจถัดมาเขาก็ได้ยินเสียงคนจำนวนนับไม่ถ้วนตะโกนอื้ออึงอยู่ในความมืด เหล่าศัตรูกรูเข้ามาจู่โจมพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัวในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เอง

กองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับรีบพุ่งเข้าไปโรมรันกับทัพที่ดาหน้าเข้ามา

รังสีสังหารของจูเยวี่ยแรงกล้าขึ้น เขารู้ได้ทันทีว่าเหล่าคนที่เข้ามาโจมตีนั้นเป็นผู้ควบคุมฝูงอสูรเวท ชายหนุ่มอดกลั้นมาตลอด ตอนนี้มีโอกาสที่จะปลดปล่อยความโกรธและความคับข้องใจแล้ว แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่มือที่ใช้พรากชีวิตเหล่าศัตรูก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย

การสู้รบรุนแรงขึ้นในพริบตา เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณในชั่วไม่กี่ลมหายใจ ปริมาณเลือดที่หลั่งไหลออกมานั้นมากมายเสียจนรวมตัวกันเป็นแม่น้ำได้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวลไปทั่วหุบเขา

ตอนที่การสู้รบปะทุขึ้นปู้ฟางกับหลงไฉยังนั่งดื่มซุปกันสบายใจอยู่ พวกเขารู้สึกเพียงว่าแผ่นดินที่อยู่ใต้เท้านั้นสั่นไหว การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เสียงกระบี่ปะทะกันดังกึงก้องจนมาเข้าหูคนทั้งสอง

“พวกเขาเริ่มสู้กันแล้วหรือ” หลงไฉแตกตื่น รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ

“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ปู้ฟางดื่มน้ำแกงเข้าไปอีกอึก ดวงตาฉายแสงประหลาด

ในการสู้รบครั้งแรกพวกเขากระฉับกระเฉงเต็มไปด้วยพลัง และอ่อนแรงลงเล็กน้อยในการสู้รบครั้งที่สอง ส่วนการสู้รบครั้งที่สามพวกเขาไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรง กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับต้องรับมือกับอสูรเวทที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่ได้หยุดพัก พละกำลังและสภาพร่างกายอยู่ในจุดที่ย่ำแย่ที่สุด ส่วนสภาพจิตใจก็ต่ำเตี้ยไม่แพ้กัน แล้วพวกเขาจะสู้รบกับศัตรูทั้งที่มีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ดูท่าว่าตอนนี้กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับกำลังอยู่ในจุดที่ล่อแหลมเสียแล้ว

โม่หลินกำหอกยาวไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้กองทหารนี้จะจัดได้ว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ แต่หากเขาบดขยี้อีกฝ่ายได้ อย่างไรเสียก็ยังได้รับความดีความชอบมากมาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD